top of page

หนัง/ซีรีส์ที่ดูแล้วชอบ Q2 2021


ภาพถ่ายโดย KoolShooters จาก Pexels

เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมจะแนะนำหนัง/ซีรีส์ที่ดูแล้วชอบไว้ในแฟนเพจ boy's thought อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบของ facebook ทำให้การสืบค้นโพสต์เก่า ๆ ทำได้ยาก ผมจึงนำมารวบรวมไว้ในเว็บไซต์ เผื่อว่าใครจะลองไปหามาดูบ้าง โดยครั้งนี้จะเป็นหนัง/ซีรีส์ที่ผมดูในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2021 (ส่วนที่ดูเมื่อเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2021 กดอ่านได้ ที่นี่) มาเริ่มกันเลยครับ


1. Minari (In Theatre)


เข้าชิงออสการ์ 6 รางวัล เกิดมาผมเพิ่งเคยดูหนังเรื่องเดียวกัน 2 รอบในวันเดียวกัน รอบแรกดูแล้วรู้สึกเฉย ๆ แต่พอทิ้งไว้สักพัก เกิดอยากเก็บรายละเอียด เลยดูอีกรอบ ทีนี้ชอบเลย ชอบมาก หนังซ่อนอะไรไว้หลายจุดให้เราสังเกตเอาเอง


เรื่องราวของครอบครัวเกาหลีที่อพยพไปสร้างชีวิตใหม่ที่อเมริกา คนพ่อเลี้ยงดูครอบครัวด้วยอาชีพคัดแยกเพศลูกเจี๊ยบ แต่หลังจากทำงานนี้อยู่หลายปี ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร เขาจึงพาครอบครัวย้ายไปอยู่ชนบท ที่ราคาที่ดินถูก เพื่อที่เขาจะได้ทำไร่ปลูกผัก ส่งขายร้านขายอาหารเกาหลีในอเมริกา นี่คือความหวังครั้งใหม่ของเขาที่จะพาให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม แต่ปัญหาก็คือภรรยาของเขาไม่เห็นด้วยมาก ๆ เธอไม่อยากอยู่ชนบทไกลปืนเที่ยง เดินทางลำบาก จะพาลูกไปหาหมอก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง


ผมเล่าเรื่องราวไว้ประมาณนี้ ที่เหลือลองไปดูต่อกันเอง โทนหนังไม่เครียด หลายฉากเลยที่คนดูหัวเราะลั่นโรงหนัง (โดยเฉพาะคู่ของยายกับหลานชาย) แต่แน่นอนว่าเราจะเห็นหลายฉากที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของสามีภรรยาคู่นี้ ซึ่งจุดนี้เองที่ผมชอบมาก มันคล้ายจะบอกเราว่า ความรักของชายหญิงนั้นมีความหมายไม่เหมือนกัน สำหรับฝ่ายชาย ความรักอาจหมายถึงการทุ่มเททำงานหนัก ต้องร่ำรวยให้ได้ เพราะนั่นหมายถึงครอบครัวจะได้สุขสบาย (ในขณะเดียวกันก็อยากพิสูจน์ตัวเองว่า เกิดเป็นชาย ฉันต้องประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ไร้ค่า) ในขณะที่ฝ่ายหญิง ความรักอาจหมายถึงการได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว มีเท่าที่มีก็พอแล้ว ความสำเร็จในครอบครัวต่างหากที่สำคัญที่สุด


ยังมีอีกหลายจุดที่อยากเล่า แต่ก็เกรงใจคนยังไม่ได้ดู ต้องลองดูเองครับ หนังไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูอะไรโฉ่งฉ่างชัดเจน มีขึ้นสุดลงสุดอะไรแบบนั้น เพราะบรรยากาศหนังจะเรื่อย ๆ เหมือนได้ตามดูชีวิตจริงของครอบครัวหนึ่ง แต่ไม่น่าเบื่อนะครับ เพราะปกติถ้าหนังนิ่ง ๆ นี่ผมหลับตลอด แต่เรื่องนี้ไม่หลับเลย ภาพสวยด้วย และดนตรีประกอบก็เพราะมาก


2. Sound of Metal (Prime Video)

เข้าชิงออสการ์ 6 รางวัล (เช่น หนังยอดเยี่ยม นักแสดงนำยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ดูได้ใน Prime Video (สตรีมมิ่งของ Amazon ทดลองดูฟรีได้ 7 วัน) หนังไม่เกี่ยวอะไรกับดนตรีหรือประวัติศาสตร์เพลงร็อค ชื่อเรื่องกับโปสเตอร์อาจชวนให้เข้าใจผิด เพราะประเด็นของหนังอยู่ที่ "เมื่อมีเรื่องร้ายผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว เราจะรับมือกับมันอย่างไร?"


นี่คือเรื่องราวของ "รูเบน" หนุ่มนักดนตรีมือกลองวงร็อค วันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน จู่ ๆ หูก็ดับ ความสามารถในการได้ยินลดลงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นคนหูหนวกในที่สุด เล่นดนตรีต่อไปไม่ได้ ชีวิตเปลี่ยนในชั่วไม่กี่วัน ต้องเข้ามาอยู่ในชุมชนคนหูหนวก เริ่มฝึกภาษามือกับเด็ก ๆ ต้องทำใจให้ได้ว่าชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย รูเบนพยายามพาตัวเองกลับมาอยู่ในชีวิตเดิมให้ได้ ความหวังของเขาคือการผ่าตัดใส่เครื่องช่วยฟัง เขาจะได้กลับไปหาแฟนสาวเพื่อเล่นดนตรีด้วยกันอีกครั้ง ...หนังดูไม่ยากครับ เรียบง่าย แต่มีแง่คิดที่ลึกซึ้งมาก นักแสดงนำที่เล่นเป็นพระเอกแสดงดีมาก ดวงตาของเขาสื่อความกังวล สับสนในชีวิตได้สมจริงจนรู้สึกได้


ถ้าจะสรุปเป็นประโยคสั้น ๆ ก็คือ เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้น "เพื่อเรา" ไม่ใช่เกิดขึ้น "กับเรา" บางคนอาจบ่นว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับฉันด้วย แต่อันที่จริง เรื่องที่เกิดขึ้นกับเรานั้นมีเหตุผลบางอย่าง มันเกิดขึ้นเพื่อเรา ไม่ใช่เกิดขึ้นกับเรา


การดูรอบที่ 2 ทำให้ผมเข้าใจฉากสุดท้ายว่าทำไมหนังต้องใส่ภาพระฆังดังจากโบสถ์ เด็กชายฟลิปสเก็ตบอร์ด ท้องฟ้าที่มีไอพ่นของเครื่องบินพาดผ่าน สามภาพนี้แทบอธิบายหนังทั้งเรื่องได้เลย สุดยอดจริง ๆ ถือเป็นหนังที่ผมประทับใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต อยากชวนให้ดูครับ


3. Stand by me Doraemon 2 (In Theatre)


สนุกดี มีฉากซึ้ง ชอบครับ โปสเตอร์และการโปรโมทดูเหมือนเน้นไปที่งานแต่งของโนบิตะกับชิซูกะ แต่นางเอกตัวจริงของเรื่อง คือ "คุณย่า" ของโนบิตะที่แสนจะใจดี อ่อนโยน เข้าใจและยอมรับในตัวโนบิตะ จริง ๆ ภาคนี้คือการนำเอาโดราเอมอนตอน "ความทรงจำของคุณย่า" มาขยายความ และบวกกับอีกตอนที่ชื่อ "วันที่ผมเกิด" ใครที่เป็นแฟนโดราเอมอน คงจำได้ดีว่าคือ 2 ตอนที่ซึ้งมาก ๆ (ใครยังไม่เคยดู ลองดูใน youtube กด ที่นี่ และ ที่นี่ )


ดังนั้นอาจพูดได้ว่าหนังไม่มีอะไรใหม่ แต่สำหรับคนรักเจ้าหุ่นยนต์แมวสีฟ้าตัวนี้ การดูหนังเรื่องนี้ก็เหมือนได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง เราไม่ได้ต้องการความใหม่ แต่ต้องการความอบอุ่นที่คุ้นเคย งานภาพสวยงาม รายละเอียดดี มีชีวิตชีวา จากภาพแบน ๆ 2 มิติที่คุ้นเคย ก็กลายมาเป็นตัวการ์ตูน 3 มิติแบบอนิเมชั่นยุคใหม่ เพลงตอนจบก็เพราะและความหมายดีมาก ผมนั่งฟังจนจบเพลง น้ำตาจะไหลอีกรอบ ลองฟัง ที่นี่ )


บทสรุปของหนังเรื่องนี้ที่ผมได้ก็คือ เราต้องการใครสักคนที่ยอมรับในตัวเราว่ามีด้านที่อ่อนแอ ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ไม่ได้เรื่องก็หลายอย่าง เราต้องการใครสักคนที่บอกเราว่ามันโอเคที่เราจะร้องไห้ อ่อนแอได้ ไม่ผิดหรอก เราต้องการใครสักคน...ใครคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างเรา


4. The Father (In Theatre)


เข้าชิงออสการ์ 6 รางวัล โปสเตอร์เหมือนจะเครียด แต่จริง ๆ แล้วหนังทำได้น่าติดตามมาก ไม่เบื่อเลยสักฉาก แม้ว่าเกือบทั้งหมดของหนังจะเกิดขึ้นในห้องไม่กี่ห้องก็ตาม The Father เล่าเรื่องของสองพ่อลูก คนพ่อเป็นชายชราผู้ป่วยเป็นโรคภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้อง และต้องได้รับการดูแลตลอด เพราะเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ ส่วนลูกสาว ก็รับภาระหนัก กลางวันทำงาน ตกเย็นต้องกลับมารับช่วงต่อจากคนดูแลที่เธอจ้างไว้


เอาจริงพล็อตหนังมีเท่านี้เลยครับ แต่ความเจ๋งก็คือหนังจำลองอาการของคนเป็นโรคสมองเสื่อมได้เหมือนและน่าสะเทือนใจมาก ทั้งหลงลืม ย้ำคิดย้ำทำ สับสนผู้คน เวลา สถานที่ รวมถึงอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ซึ่ง Anthony Hopkins แสดงบทนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกคนที่แสดงได้ดีมากก็คือ Olivia Colman เธอเล่นเป็นลูกสาวที่แบกรับความกดดันทั้งหมดเอาไว้ ใครเคยดูแลผู้ป่วยที่มีอาการแบบนี้จะเข้าใจเลยว่าเป็นงานหนักมากทั้งกายและใจ


บรรยากาศโดยรวมคล้ายดูละครเวที มีนักแสดงไม่กี่คน การเข้าออกของตัวละครและการเปลี่ยนฉากแต่ละครั้งมีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะบทหนังดัดแปลงจากบทละครเวที ถือเป็นหนังเช้าชิงออสการ์ที่ไม่ควรพลาด เต็มสิบไม่หักครับ


5. The Way of the Househusband (Netflix)


หนังการ์ตูนที่ตลกมาก สั้นมาก เหมาะดูคลายเครียด ชื่อเรื่องไทย "พ่อบ้านสุดเก๋า" ดูได้ใน netflix ครับ เรื่องราวของ "ทัตสึ คนอมตะ" อดีตยากูซ่าในตำนาน ที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็น "พ่อบ้านฟูลไทม์" ดูแลบ้าน ทำอาหารให้ภรรยาผู้เป็นดีไซน์เนอร์ พล็อตมีเท่านี้เลย เพราะมันเป็นเพียงการ์ตูนสั้น ๆ ตอนละ 3 นาทีที่เน้นแก๊กตลก โดยมีจุดศูนย์กลางคือ ความขัดแย้งของตัวละครยากูซ่าหน้าโหด สักเต็มตัว กลับทำอะไรที่ตรงกันข้าม อย่างเช่นทำอาหาร ทำขนมหวาน ซื้อของซูเปอร์แล้วชอบสะสมแต้ม จุดเด่นของอนิเมะเรื่องนี้คือ "สั้นมาก" ใน 1 ตอนที่ยาวประมาณ 15 นาที จะซอยเป็นตอนย่อย ๆ เรียกว่าดูเพลินแป๊บเดียวจบ เหมาะเอาไว้เปลี่ยนบรรยากาศ หรือหาอะไรสั้น ๆ ดูตามแบบฉบับคนยุคนี้


อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคนที่ชอบการ์ตูนเรื่องนี้ น่าจะต้องเป็นคนชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น (มังงะ) เพราะสไตล์ภาพนั้นถอดแบบจากหนังสือการ์ตูน มีความเป็นช่อง ๆ มีเส้นนำสายตา มีการเคลื่อนไหวที่น้อยมาก แต่ทั้งหมดนี้ "โคตรเท่" ครับ และที่สำคัญที่สุด ต้องเป็นคนชอบมุกแบบที่มี "ความกาว" รั่ว ๆ บ้าบอหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจไม่ขำ...ส่วนผมดูแล้วชอบมากครับ ขำลั่นบ้าน (มีเวอร์ชั่นคนแสดงด้วยนะครับ หาคนแสดงเหมือนมาก ๆ ลอง google ดูได้)


6. A Sun (Netflix)


หนังไต้หวันยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง ผมดูแบบไม่ลุกไปไหนเลย นี่คือพลังของการเล่าเรื่องที่ดึงดูดเราไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องราวของครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางล่าง พ่อเป็นพนักงานสอนขับรถยนต์ แม่เป็นช่างเสริมสวยให้สาวบริการกลางคืน ลูกชายคนโตเป็นเด็กเรียน เรียบร้อย กำลังเตรียมสอบเข้าแพทย์ ลูกชายคนเล็กเกเร คบเพื่อนไม่ดี จึงนำไปสู่จุดเปลี่ยนแปลงของครอบครัวนี้


ผมเล่าแค่นี้ก่อน ไม่อยากสปอยล์เยอะ เพราะผมก็ดูเรื่องนี้แบบไม่รู้อะไรเลย รู้แค่มีคนบอกว่าหนังดีมีรางวัล ซึ่งปรากฏว่าหนังเอาผมอยู่หมัด แค่ฉากแรกก็เรียกร้องความสนใจสุด ๆ ตามมาด้วยฉากต่อมาและต่อมา กราฟไม่ตกเลย ดูแล้วร่วมลุ้นไปกับชะตาชีวิตของครอบครัวนี้ แม้ว่าเหตุการณ์ในหนังจะเครียด แต่โทนหนังไม่หดหู่นะครับ มีมุกตลกให้ได้ผ่อนคลายบ้าง (แต่ก็มีฉากเหวอ ๆ ที่กระทบใจคนซึมเศร้า โปรดระวัง)


ที่ได้โบนัสอีกอย่างสำหรับคนไทยก็คือ เพลงประกอบในหนังเรื่องนี้ ถ้าฟังแล้วคุ้นก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะมันคือเพลงที่เราเอาทำนองมาแปลงเป็นเพลงไทยในชื่อเพลง "ดอกไม้ให้คุณ" นั่นเอง


7. Unorthodox (Netflix)


มินิซีรีส์ดูได้ใน netflix สนุก ลุ้น ไม่เครียด และได้ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาวยิว เอาจริงตอนแรกผมเห็นโปสเตอร์แล้วไม่อยากดู น่าจะหนัก เครียด หดหู่ และน่าจะเกี่ยวกับศาสนา แต่พอดูคะแนนใน imdb กับอ่านรีวิวคร่าว ๆ หลายเสียงบอกว่าดีมาก ผมเลยลองกดดู ผลก็คือ "สนุกกว่าที่คิดไว้มาก"


เรื่องราวชุมชนชาวยิวในบรูคลิน นิวยอร์ค พวกเขามีวัฒนธรรมในกลุ่มที่เข้มแข็งมาก ปิดกั้นโลกภายนอกไม่ให้ไหลทะลักเข้ามา พวกเขามีความเชื่อแบบดั้งเดิมว่าชายเป็นใหญ่ และหญิงมีหน้าที่ผลิตลูก เพื่อขยายเผ่าพันธุ์ให้เพิ่มขึ้น ชดเชยชาวยิวที่เสียชีวิตไปหลายล้านคนจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นางเอกของเรา "เอสตี้" เธอแต่งงานแบบคลุมถุงชน ซึ่งเป็นเรื่องปกติในชุมชนนี้ แต่ปัญหาก็คือเธอไม่มีลูกสักที ทั้งเธอและสามีไร้เดียงสาเรื่องเพศสัมพันธ์ ฝ่ายชายเป็นลูกแหง่ติดแม่ ไม่มั่นใจตัวเอง ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย


เรื่องราวมาพลิกผัน เมื่อนางเอกของเราตัดสินใจหนีจากชุมชนนี้ เพื่อไปสู่โลกใหม่ที่มีอิสระเสรีกว่านี้ และประเทศที่เธอเลือกไปก็คือ เบอร์ลิน เยอรมนี ประเทศที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าคือสถานที่สังหารโหดชาวยิว นี่จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่อง Unorthodox ที่แปลว่าไม่เหมือนที่เขาทำกัน แหกคอก นอกรีต


ผมเล่าไว้แค่นี้ ที่เหลือต้องไปดูต่อ ข้อดีคือมีแค่ 4 ตอน ตอนละ 50 นาทีเท่านั้น ดูแล้วไม่เหนื่อย สนุกดีครับ ได้เห็นวัฒนธรรมของชาวยิว เช่น พิธีแต่งงาน แรบไบ คัมภีร์ การแต่งกาย ซึ่งทาง netflix ก็โปรโมทว่านี่เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่พูดภาษา Yiddish (ภาษายิว) แม้ว่าช่วงท้าย ๆ หนังจะพาฝันไปหน่อย ดูคลี่คลายง่ายเกินกว่าจะเกิดขึ้นได้ในโลกจริง แต่โดยรวมผมชอบครับ หนังไม่ได้พยายามเน้นเรื่องการกดขี่ทางเพศจนเกินพอดี เพราะผู้ชายในเรื่องก็น่าสงสารไม่แพ้กัน และเอาเข้าจริง เราคนนอกก็ไม่อาจตัดสินได้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำกันในชุมชนของเขานั้นถูกหรือผิด


8.Two Distant Strangers (Netflix)


หนังสั้น 30 นาที เจ้าของรางวัลออสการ์สาขาหนังสั้นปีล่าสุด และถูกตั้งข้อสงสัยว่า "ลอกไอเดีย" คลิปหนังสั้นใน youtube หรือเปล่า? พล็อตเรื่องคือ ชายผิวสีตื่นมาตอนเช้า แต่งตัวลงมาจากอพาร์ทเมนต์ แล้วเจอตำรวจผิวขาวขอตรวจค้นตัว และจบลงด้วยการถูกยิงตาย จากนั้นเขาจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเจอเหตุการณ์ซ้ำเดิม นั่นคือถูกค้นตัวแล้วถูกยิงตาย วนเวียนเป็น time loop ไม่รู้จบ เขาพยายามปรับเปลี่ยนวิธีไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ถูกยิงตาย (ใครเคยดู Groundhog Day จะเข้าใจ)


ไม่ต้องสงสัยว่าเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ในปี 2020 เพราะในหนังบอกไว้โจ่งแจ้ง เอาจริง ๆ ผมดูแล้วเฉย ๆ นะครับ ไม่ดีไม่แย่ แค่รู้สึกว่ามันทื่อ ๆ และปลุกระดมไปหน่อย แต่ที่ชวนดูก็เพราะหนึ่ง หนังสั้นดี ประเด็นเดียว ดูง่ายครับ และสอง หนังตกเป็นข่าวว่า "ลอกไอเดีย" คลิปหนังสั้น 4 นาทีใน youtube เมื่อปี 2016 ชื่อคลิปว่า groundhog day for a black man กดดู ที่นี่ สารภาพว่าผมดูแล้วก็รู้สึกเหมือนจริง ๆ ด้วยครับ


9. The Assassination of Gianni Versace (Netflix)


ซีรีส์แนะนำมาก มี 9 ตอน ดูได้ใน netflix เรื่องนี้ผมเจอโดยบังเอิญ เห็นโปรยว่าได้รางวัลซีรีส์ยอดเยี่ยม นักแสดงยอดเยี่ยม พอไปอ่านรีวิวใน imdb คะแนนดีมาก มีแต่คนชื่นชม เลยตัดสินใจดู (เดี๋ยวนี้กว่าจะดูสักเรื่อง คัดแล้วคัดอีก) เนื้อเรื่อง "อ้างอิง" จากเรื่องจริง นั่นคือ เหตุการณ์ที่ "เวอร์ซาเช่" แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังถูกยิงเสียชีวิตหน้าแมนชั่นของเขาเองในวันที่ 15 ก.ค. 1997 ผู้ร้ายคือฆาตกรนักฆ่าหลายศพที่ชื่อ "แอนดรูว์ คูนาแนน" โดยเนื้อหาของซีรีส์จะเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งหมด โดยเน้นไปที่ตัวแอนดรูว์มากกว่าเวอร์ซาเช่


ซีรีส์เรื่องนี้เจ๋ง 4 อย่างครับ หนึ่ง โปรดักชั่นอลังการ ถ่ายสวย มุมกล้องไม่ธรรมดา สอง วิธีเล่าเรื่องโคตรเจ๋ง หนังเล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปในอดีตถอยไปเรื่อย ๆ ว่าก่อนที่แอนดรูว์ คูนาแนน จะเติบโตมาเป็นแบบนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจะดูให้ตรงไทม์ไลน์ เราต้องดูไล่จากอีพีท้าย ๆ ขึ้นมาถึงอีพีแรก วิธีเล่าแบบนี้ทรงพลังมากครับ เพราะมันทำให้เราฉลาดกว่าตัวละคร เรารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาเหล่านี้ จึงอินเป็นพิเศษ สาม นักแสดงเล่นดีมากทุกคน (มีดาราดังอย่าง ริคกี้ มาร์ติน กับ เพเนโลเป ครูซ ด้วย) แต่ที่แสดงดีมากจนต้องกราบก็คือ Darren Criss คนที่เล่นเป็น แอนดรูว์ คูนาแนน (ภาพปก) ดูแล้วเชื่อสนิทใจเลยว่าเขาคือแอนดรูว์ ตีบทแตกสุด ๆ และ สี่ เนื้อหาสะท้อนหลายเรื่อง ตั้งแต่ความหละหลวมของวงการตำรวจ เรื่องรักร่วมเพศที่ยังเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้ในยุค 90s


ใครชอบหนังที่ค้นลึกเข้าไปถึงจิตใจของตัวละคร ชอบหนังสไตล์จิตวิทยา ชอบหนังทริลเลอร์ ตื่นเต้น ลุ้นระทึก (โหดนิดหน่อย) เรื่องนี้คุณจะชอบมากครับ ส่วนตัวผมยกให้ แอนดรูว์ คูนาแนน เป็นตัวละคร (ซึ่งมีตัวตนจริง) ที่น่ากลัวและน่าสงสารที่สุดตัวละครหนึ่งในโลกภาพยนต์เลยครับ


10. Innocent (Netflix)


เรื่องนี้ไม่ใช่ไม่ดี แต่ดีน้อยกว่าที่คาดหวังไว้เพราะคะแนน imdb สูง และคำวิจารณ์ไปในทางบวกมาก ใครสนใจลองดูใน netflix ครับ ชื่อ innocent ชื่อไทยสั้น ๆ "ไม่รู้" ซีรีส์สัญชาติสเปน 8 ตอนจบ (ตอนละ 1 ชั่วโมง) เล่าอะไรมากไม่ได้ เดี๋ยวจะสปอยล์ สั้น ๆ คือพระเอกพลั้งพลาดทำคนเสียชีวิต เขาต้องติดคุกชดใช้กรรม แต่เมื่อรับโทษครบแล้วได้ออกจากคุก ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ กลับกลายเป็นว่าเกิดเรื่องยุ่งเหยิงกับชีวิตเขายิ่งกว่าเดิมเสียอีก ใครชอบหนังสไตล์ทริลเลอร์ อาชญากรรม ตำรวจจับผู้ร้าย ใครคือคนร้าย ความลับ ความแค้น เรื่องเดินเร็วแบบไม่เคยเห็นตัวละครนอนหลับหรือกินข้าวกันบ้างเลย น่าจะชอบเรื่องนี้ครับ (มีฉากศพเละ ๆ ให้สยองอยู่บ้าง รวมถึงฉากเพศและความรุนแรง)


จุดอ่อนที่ทำให้ไม่สมหวังสำหรับผมคือ เมื่อเรื่องราวเฉลยออกมาในตอนสุดท้าย กลับไม่ถึงใจเท่าไร อันที่จริงถ้าทำเป็นหนัง 2 ชั่วโมงน่าจะดีกว่านี้ (ปล.เนื่องจากเป็นซีรีส์ค่อนข้างใหม่ พอผมกลับไปอ่านรีวิวใน imdb อีกที คราวนี้เริ่มมีคนรู้สึกคล้ายกับผมเพิ่มขึ้นว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้ดีถึงขนาดเป็นมาสเตอร์พีซ จึงเป็นบทเรียนสำหรับผมว่าบางทีอาจต้องทิ้งช่วงให้มีคนดูมากพอ แล้วค่อยไปไล่อ่านความคิดเห็นอีกที)


11. Dead to Me (Netflix)


ซีรีส์ตอนละครึ่งชั่วโมง แป๊บเดียวจบ ได้ทั้งความฮาแบบตลกร้าย และยังได้แง่คิดชีวิตด้วย เนื้อเรื่องเล่าแบบไม่สปอยล์คือ หญิงสาวแปลกหน้าสองคนเจอมรสุมชีวิต ได้มาพบกันในกลุ่มบำบัดความเศร้า สาวคนแรก "เจน" สามีเสียชีวิต ถูกรถชนแล้วหนี เธอเจ็บปวด ยึดติดอยู่กับการตามล่าหาตัวคนขับให้เจอ ส่วนสาวคนที่สอง "จูดี้" คู่หมั้นเพิ่งเสียชีวิต ด้วยเพราะความสูญเสียเหมือน ๆ กัน จึงดึงดูดให้สองสาวกลายเป็นเพื่อนกัน โดยที่ในเวลาต่อมาคนดูจะได้รู้ว่าทั้งคู่ (และรวมถึงตัวละครอื่น ๆ ในเรื่อง) ต่างก็มีความลับ โกหก เคยทำผิดพลาดในอดีต และยังก้าวข้ามไม่ได้เสียที


ฟังดูเหมือนซีเรียส แต่หนังทำออกมาในแนว Black Comedy ก็เลยไม่เครียด หลายประโยค ตลกอย่างร้ายกาจ หลากฉากก็ชวนเราลุ้นว่าความลับจะถูกเปิดเผยเมื่อไหร่ นอกจากพล็อตเรื่องที่สนุกแล้ว สองสาวนักแสดงนำก็เล่นเข้าเขากันดีมาก โดยเฉพาะ Christina Applegate ที่ทั้งสวย ตลก สติแตก แบกทั้งเรื่องไว้ได้อยู่หมัด อีกอย่างที่ดีมากคือเพลงประกอบ คนทำหนังฉลาดเลือกเพลงที่เนื้อหาเข้ากับเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Drive ของ The Cars หรือ You Sexy Thing ของ Hot Chocolate (ที่ถูกเปลี่ยนเป็น You Sacred Thing)


เรื่องนี้สาว ๆ น่าจะชอบดูมากกว่าหนุ่ม ๆ เพราะเนื้อหาพูดแทนใจผู้หญิงวัย 40 ขึ้นไปในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ตอนนี้มี 2 ซีซั่น และกำลังจะมีซีซั่น 3 เร็ว ๆ นี้ครับ


12. The Kominsky Method (Netflix)


ซีรีส์แนะนำ สนุก ตลก ฉลาด การันตีด้วยรางวัลลูกโลกทองคำ หนึ่งตอนไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ซีซั่นนึงไม่ถึง 4 ชั่วโมง เหมาะกับคนไม่ชอบดูอะไรยาว ๆ ชอบหนังแนว Comedy ปน Drama เล็ก ๆ The Kominsky Method ชื่อเรื่องไม่ได้สื่ออะไรสำหรับคนยังไม่ได้ดู แถมโปสเตอร์ก็เป็น 2 หนุ่มรุ่นใหญ่มาก (คนนึงปีนี้อายุ 76 อีกคนปีนี้อายุ 87) เชื่อว่าอาจทำให้หลายคนมองข้ามซีรีส์นี้ไป เพราะดูแล้วไม่น่าตื่นเต้น ผมเองรู้จักเรื่องนี้จากที่พี่ป้าง นครินทร์ แนะนำไว้ในโพสต์ และได้ดูมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว วันนี้กลับมาเปิดดูอีกรอบ เพราะเห็นว่าเพิ่งมีซีซั่น 3 ปิดท้าย เลยต้องทวนดูอีกรอบ ผลลัพธ์คือผมยังสนุก หัวเราะ และซึ้งได้เหมือนเดิม แสดงว่าของเขาดีจริง


เล่าสั้น ๆ นี่คือเรื่องราวของสองเพื่อนที่คบกันมา 40 ปี คนหนึ่งเป็นอดีตนักแสดงเคยมีชื่อเสียง วันนี้ยึดอาชีพโค้ชการแสดง ฐานะการเงินเดือนชนเดือน แถมที่ผ่านมายังไม่เคยประสบความสำเร็จเรื่องชีวิตคู่ ส่วนอีกคนเปิดบริษัทเอเยนต์จัดหางานให้นักแสดง ประสบความสำเร็จอย่างสูง ฐานะดี รักภรรยามาก แม้ว่าจะแตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันสุด ๆ นัดกินอาหารกันประจำ จิกกัดด้วยคำพูดกันตลอด


วันหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อคนหนึ่งมีความรักครั้งใหม่ ในขณะที่อีกคนกำลังสูญเสียความรักไป คนทั้งคู่จึงต้องมาคอยดูแลกันแบบ "เพื่อนซี้" สไตล์แมน ๆ ความหมายก็คือ "ปากเหมือนจะร้าย แต่ใจรักและโคตรห่วง" ดังนั้นเราผู้เป็นคนดูก็เลยได้ตลกไปกับบทสนทนาที่คมคาย ฉลาด บาดใจ


สิ่งที่ผมชอบมากเกี่ยวกับ The Kominsky Method ก็คือมันเป็นหนังที่เล่าเรื่อง "ผู้สูงวัย" ได้ตลกอย่างร้ายกาจ ความเจ็บป่วยที่มาเยือน ความกลัวการต้องอยู่คนเดียวตอนแก่ การสูญเสียคนที่รักมาก ๆ เหตุผลของการยังอยากมีชีวิตอยู่ ความตาย และสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย (ภาษี) เรื่องหนัก ๆ แบบนี้จะเล่าออกมายังไงให้สนุก ถือเป็นโจทย์โคตรยาก แต่ซีรีส์เรื่องนี้ทำได้ และทำได้ดีมาก ๆ ยิ่งใครพอรู้จักวงการบันเทิงอเมริกา จะยิ่งดูเรื่องนี้สนุกมาก เพราะมีนักร้องนักแสดงมาเล่นเป็นตัวเขาและเธอจริง ๆ มีคำพูดจิกกัดวงการหนังและเพลง เรื่องสีผิว เชื้อชาติ ครบเลยครับ สมแล้วที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในหลายเวที


13. Private Life (Netflix)


สนุก ตลก และดีเกินคาด ในยุคที่ซีรีส์ครองเมือง (ซึ่งดี แต่เปลืองเวลาดูมากเกินไป) การได้เจอหนังดี ๆ สักเรื่อง ดูจบใน 2 ชั่วโมง มันคือรางวัลชีวิต ยิ่งดูได้ใน netflix ด้วย ยิ่งสวรรค์ครับ ชื่อเรื่อง Private Life (คนละอันกับซีรีส์เกาหลี) ไม่สื่อความหมายใด โปสเตอร์ก็ไม่ได้บอกโทนของหนัง อาศัยดวงล้วน ๆ บวกอ่านรีวิวใน imdb ผมจึงเลือกดูเรื่องนี้ ผลคือ "ชอบครับ"


เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือเรื่องของสองสามีภรรยา ชายวัย 47 หญิง 41 ทั้งคู่พยายามจะมีลูกด้วยทุกวิธีทาง หมดเงินไปไม่น้อย หมดกำลังใจไปก็มาก แต่ก็ยังอยากมีลูก วันหนึ่งหมอแนะนำว่าอาจต้องใช้วิธีนำสเปิร์มสามี ผสมกับไข่ผู้หญิงคนอื่น แล้วค่อยนำกลับมาที่มดลูกของภรรยา เรื่องราวของการค้นหา "หญิงคนอื่นคนนั้น" จึงเกิดขึ้น และนำไปสู่เรื่องราวที่สนุก ตลก ลุ้น และได้รับบทเรียนบางอย่าง


ฟังพล็อตเรื่อง อาจคิดว่าหนังเครียด แต่จริง ๆ ตลกมากครับ ทั้ง ๆ ที่เรื่องจริงจัง แต่สถานการณ์กับบทสนทนานั้นขำมาก (แน่นอนว่าถ้าเกิดกับเรา เราคงไม่ขำ) หนังคุมโทนได้ดี เนื้อหาจริงจัง แต่เล่าด้วยความอารมณ์ดี


อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้มีวิธีเล่าแบบหนังฟอร์มเล็ก ไม่โฉ่งฉ่าง อินดี้นิด ๆ จบแบบปลายเปิด (และเพลงเพราะมาก) ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้ อาจจะเฉย ๆ หรือรู้สึกว่าเนื้อเรื่องบางไปหน่อย


14. The People v. O. J. Simpson: American Crime Story (Netflix)


ซีรี่ส์เก่าหน่อย (ปี 2016) แต่ดูสนุก กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย มี 10 ตอน ตอนละประมาณ 40 นาที กำลังดี ดูแล้วไม่เหนื่อย ชื่อเรื่อง The People v. O. J. Simpson: American Crime Story ดูได้ใน netflix สร้างจากเรื่องจริง หนึ่งในคดีดังที่สุดของอเมริกา เมื่อ O. J. Simpson นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดัง ร่ำรวย ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมอดีตภรรยา เกิดเป็นเรื่องราวข่าวใหญ่โต ตั้งแต่ตอนที่โอเจพยายามหนีการจับกุม ไปจนถึงคดีความในศาลที่ยืดเยื้อยาวนาน และลุกลามกลายเป็นประเด็นเหยียดสีผิว ซึ่งเป็นเรื่องเปราะบางของอเมริกา คดีนี้กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งประเทศ และเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ถูกยกมาสอนในชั้นเรียนกฏหมาย


ผมเองดูเรื่องนี้แบบไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้แม้กระทั่งผลการตัดสินคดี จึงทำให้ดูแล้วสนุกและลุ้นตามไปด้วย เพราะหนังแทบจะถอดแบบจากเหตุการณ์จริง มีคลิปเหตุการณ์จริงประกอบ ปกติผมไม่ถนัดดูหนังที่สู้คดีกันในศาล โต้กันไปมา เพราะดูแล้วเบื่อหรือบางครั้งก็ไม่เข้าใจ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมดูจนจบ เข้าใจ และสนุก ได้เห็นกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ของการตัดสินคดี วิธีการเลือกลูกขุน วิธีหาหลักฐานมาโน้มน้าว รวมไปถึงกระบวนการลงคะแนนเสียงว่าผิดหรือไม่ผิด นักแสดงทุกคนก็เล่นดีมากครับ ที่สำคัญเลือกนักแสดงมาได้ใกล้เคียงกับบุคคลจริง ๆ มาก อย่างไรก็ตาม ถ้าใครรู้รายละเอียดคดีนี้ดีทั้งหมดแล้ว อาจดูซีรีส์เรื่องนี้ไม่สนุกก็ได้ครับ เพราะเหมือนรู้ตอนจบไปแล้ว


15. #hatetag (line tv)


หนังสั้นดูฟรีที่ line tv สนุกดี สั้นมาก มี 10 เรื่อง เรื่องละ 15 นาทีเท่านั้น ถูกจริตคนยุคนี้ เนื้อหาว่าด้วยโลกออนไลน์ที่เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตในโลกจริง แต่ละตอนจะสลับสับเปลี่ยนให้เราเห็นถึงผลพวงของโซเชียลมีเดียในด้านลบ ไม่ว่าจะเป็น... เรื่องเล็กแค่ไหนก็กลายเป็นดราม่าในโลกออนไลน์ได้ อาการหิวแสง อยากเด่นดัง อยากดูดีในโลกออนไลน์ พฤติกรรมไซเบอร์บูลลี่ คอมเมนต์เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่ไม่รู้จักกัน อาการเสพติดเมื่อมีผู้ติดตามเยอะจนเผลอคิดว่าตัวเองมีอำนาจเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม


ข้อดีของหนังสั้นชุดนี้คือ สั้นจริง 15 นาทีจบ ใครมีเวลานิดหน่อย อยากหาอะไรดูเล่น ๆ ถือว่าเหมาะมาก อย่างไรก็ตาม ความสั้นนี้ก็อาจกลายเป็นข้อเสีย หนังเลยเล่าอะไรได้ไม่ลึก ทิ้งไว้ให้เราคิดต่อเอง โชคดีที่บทเขียนดี นักแสดงก็เล่นดีมาก ส่วนใหญ่ต้องเล่นคนเดียว แสดงอารมณ์กับหน้าจอ (ซึ่งนั่นทำให้ผมได้ตระหนักว่า มนุษย์ยุคนี้หมกมุ่นกับหน้าจอมากแค่ไหน)


ยูวัล โนอาห์ แฮรารี ผู้เขียนหนังสือดังแห่งยุค Sapiens เขียนไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าวว่า ภาษาของมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการซุบซิบนินทา และการซุบซิบนินทานั้นสำคัญมาก เพราะมันทำให้เกิดการร่วมมือกันในสังคม มนุษย์ต้องรู้ว่าใครในกลุ่มเกลียดกับใคร ใครหลับนอนกับใคร ใครซื่อสัตย์ ใครเหลี่ยมจัด พูดง่าย ๆ ว่าการซุบซิบนินทาทำให้เรารู้ว่าใครไว้ใจได้ จะได้รวมกลุ่มกันทำงาน อย่างไรก็ตาม ยูวัลบอกว่าการซุบซิบนินทามีข้อจำกัด นั่นคือ ถ้าเกินกว่า 150 คน เราจะเริ่มไม่รู้จักกันแบบลึก ๆ ไม่คุ้นเคยใกล้ชิด และการซุบซิบนั้นก็จะเริ่มไม่มีประโยชน์ (มีแนวโน้มว่าจะมั่วนิ่ม คิดไปเอง ลือ หรือสร้างข่าวปลอมขึ้นมา)


ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่านี่แหละครับคือรากฐานของปัญหาในโลกโซเชียล มันจับทุกคนมารวมกัน แสดงความคิดเห็นใส่กัน แสดงตัวตนได้เต็มที่ (เท่าที่อยากให้คนอื่นเห็น) โดยที่เราแทบไม่ได้รู้จักกันจริง ๆ เลย โลกโซเชียลจึงกลายเป็นสนามซุบซิบนินทาที่เสียงดังมาก และเข้าถึงผู้คนมากเกินไป


โดยสรุป อยากชวนดูหนังสั้นชุดนี้ครับ อาจไม่อลังการเท่า black mirror (เพราะงบต่างกันเยอะ) อาจไม่ดาร์คเท่าโลกโซเชี่ย ล (ดูใน line tv เช่นกัน) หรืออาจไม่โหดแบบแนนโน๊ะ แต่โดยรวมแล้วดี ทำให้เราตระหนักถึงผลกระทบที่เรามีต่อคนอื่น (และคนอื่นมีต่อเรา) ผ่านทางไอ้เจ้าอุปกรณ์สี่เหลี่ยมที่เราถือติดมือตลอดเวลา และจ้องมันตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน


1,495 views0 comments

Comments


Home: Blog
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.23.png
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.34.png

กรอกข้อมูล รับฟรี! ebook บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด

bottom of page