เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมจะแนะนำหนัง/ซีรีส์ที่ดูแล้วชอบไว้ในแฟนเพจ boy's thought อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบของ facebook ทำให้การสืบค้นโพสต์เก่า ๆ ทำได้ยาก ผมจึงนำมารวบรวมไว้ในเว็บไซต์ เผื่อว่าใครจะลองไปหามาดูบ้าง โดยครั้งนี้จะเป็นหนัง/ซีรีส์ที่ผมดูในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2022 (มีบางเรื่องดูปลายเดือนธันวาคม 2021) มาเริ่มกันเลยครับ
1.Don't’ Look Up (Netflix)
คงไม่ต้องแนะนำให้มากมาย สำหรับหนังฟอร์มใหญ่เรื่องนี้ ที่น่าทึ่งคือพวกเราได้ดูหนังรวมดาราดังขนาดนี้ “ที่บ้าน” (หนังฉายจำกัดโรงพอเป็นพิธีไม่กี่วัน แล้วเข้าฉายใน Netflix ทั่วโลก)
พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ สองนักวิทยาศาสตร์ตรวจพบว่าดาวหางขนาดยักษ์กำลังจะพุ่งชนโลกในอีก 6 เดือนข้างหน้า ทั้งคู่จึงพยายามแจ้งข่าวนี้กับคนทั้งโลก ทั้งไปออกรายการทีวีสุดฮิต ทั้งติดต่อขอพบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ ข่าวดารารัก ๆ เลิก ๆ กับข่าวอื้อฉาวของ ปธน. ดูจะสำคัญกว่า สองนักวิทย์ยังพยายามต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่งชาวโลกเริ่มเชื่อแล้วว่านี่คือเรื่องจริง แต่มันก็นำไปสู่ความวุ่นวายโกลาหล ความแตกแยก และการแย่งชิงผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจทั้งหลาย
อ่านพล็อตแล้วเหมือนหนังน่าจะเครียด แต่ตรงข้ามครับ นี่คือหนังตลกร้ายเสียดสีประชดประชันหลายวงการ ทั้งสื่อ ดารา นักการเมือง ทหาร นักธุรกิจสายเทค นักวิทย์ คนรุ่นใหญ่ คนรุ่นใหม่ ซึ่งหากดูจากประวัติของผู้กำกับและเขียนบทอย่าง Adam McKay แล้วก็คงไม่แปลกใจ เพราะพื้นฐานของเขามาทางเขียนและกำกับหนังสายตลกรั่ว ๆ ร่วมกับ Will Ferrell เพียงแต่มาดังมาก ๆ กับหนังดราม่าวงการการเงินเรื่อง Big Short
โดยสรุป ผมคิดว่าผู้ชมอาจมองว่านี่เป็นหนังตลกร้ายทั่ว ๆ ไปเรื่องหนึ่ง หากไม่มีดาราดังจำนวนมากขนาดนี้มาคานน้ำหนัก แน่นอนว่าบทดีมาก เสียดสีเจ็บแสบมาก มีบทเรียนสอนใจในช่วงท้ายว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่หลายคนรอดูก็เพราะหน้าหนังที่รวมดาราเบอร์ใหญ่ไว้ขนาดนั้น
ตัวหนังจะดูแค่เพื่อสนุกก็ได้ เพื่อสะท้อนเหตุบ้านการเมืองก็ได้ หรือจะตีความไปถึงว่าอุกาบาตดังกล่าวคือเหตุการณ์โลกร้อนที่ไม่ค่อยมีคนสนใจก็ได้ ดูมุมไหนก็สนุกและได้แง่คิด เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ
2.tick,tick...BOOM! (Netflix)
หนังสนุกกว่าที่คิดไว้มาก เพลงก็เพราะมาก ๆ ขนาดผมไม่ใช่สายละครเพลง ยังสนุก ตลก และลุ้นไปกับตัวละคร พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือหนังเพลง (หนังที่ตัวละครร้องเพลงเล่าเรื่องราว) ที่สร้างจากละครเพลงชื่อเดียวกันของ Jonathan Larson นักประพันธ์ผู้เป็นตำนาน เจ้าของมิวสิคัลชื่อ RENT ซึ่งเปิดแสดงในบรอดเวย์ต่อเนื่องยาวนานถึง 12 ปี
หนังเล่าเรื่องชีวิตจริงของ Jonathan ในช่วงที่เขาใกล้จะอายุ 30 ปี อยู่ในสภาพกดดันเพราะยังไม่ประสบความสำเร็จดังหวังไว้ เขาอยากเป็นนักประพันธ์ละครเพลงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟไปพลาง ๆ ตอนนี้ละครเพลงชิ้นแรกของเขาใกล้จะเสร็จแล้ว ขาดก็แต่เพลงเอกของเรื่อง เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกแต่งไม่ได้เสียที ช่วงเวลานั้นเหมือนปัญหาทุกอย่างรุมเร้าเขาไปหมด ทะเลาะกับเพื่อน มีปัญหากับแฟน ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่มีจะจ่าย แล้วจะเอาความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน?
เรื่องราวเล่าไว้ประมาณนี้ ที่เหลืออยากชวนให้ไปดูต่อกันเอง สารภาพว่าตอนแรกผมบอกผ่านเรื่องนี้ เพราะไม่ใช่แนว แถมผมยังไม่รู้จัก Jonathan Larson (แต่เคยได้ยินชื่อละครเพลง RENT) ก็เลยไม่รู้จะดูหนังประวัติชีวิตของเขาไปทำไม แต่ปรากฏว่าดูไปสักพัก รู้สึกได้เลยว่านี่คือหนังดีมีคุณภาพ เนื้อเรื่องคนส่วนใหญ่มีประสบการณ์ร่วมได้ไม่ยาก (การฟันฝ่าพิสูจน์ตัวตน ความกดดันที่ต้องประสบความสำเร็จให้ได้เพราะเลือกทางต่างจากคนอื่น) เพลงก็เพราะมาก ตลกมาก (ไม่ได้ร้องเพลงพร่ำเพรื่อจนน่าเบื่อ แต่เพลงมีความหมายทุกฉาก แถมฟังง่ายติดหู เพลง Sunday ผมหัวเราะลั่นบ้าน เพลง Therapy นี่คือคิดเนื้อเพลงแบบนี้ได้ไง เพลง Come to Your Senses เพลงเอกของเรื่อง เพราะมาก ๆ นึกถึงเพลงสไตล์ยุค 90s) ทั้งหมดนี้ถูกเล่าอย่างฉับไว มีสไตล์ ไม่มีแม้แต่หนึ่งวินาทีให้น่าเบื่อเลย
สรุปว่าหนังดี เพลงดี แสดงดี แถมยังเขียนบทและกำกับโดยมือรางวัล เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ
3.The Hand of God (Netflix)
หนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่ก็ยังอยากแนะนำครับ เป็นหนังอิตาลี เพิ่งได้รางวัลจากเทศกาลหนังเวนิส และอิตาลีส่งเข้าชิงออสการ์สาขาหนังต่างประเทศ เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือหนังในสไตล์ Coming of Age (ตัวละครเปลี่ยนผ่านเติบโตจากการเรียนรู้บางอย่าง) ผู้กำกับเล่าย้อนกลับไปในช่วงปี 1980s สมัยที่เขาอายุ 17 ปี เกิดและเติบโตที่เมืองนาโปลี (หรือที่เราคุ้นในชื่อ เนเปิ้ลส์)
ตัวเอกคือ Fabietto หนุ่มวัยรุ่นท่าทางเงียบ ๆ ไม่มีเพื่อน ครอบครัวเขาดูอบอุ่น พ่อแม่ยังสวีทหวานต่อกันอยู่เสมอ พี่ชายวัยใกล้เคียงกัน พี่สาวผู้ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องน้ำ และขบวนญาติ ๆ อีกมากมายที่แปลกแตกต่างกันไป น้าสาวสุดเซ็กซี่แต่สติไม่ดี คุณย่าที่ปากจัดด่าไปทั่ว น้าสาวร่างท้วมอีกคนแต่งกับชายชราทหารผ่านศึกผู้เป็นใบ้ ฯลฯ เรื่องราวทั้งหมดนี้มีฉากหลังคือบรรยากาศสวย ๆ ของเมืองติดชายฝั่งอย่างนาโปลี และรวมถึงข่าวที่ชาวเมืองเล็ก ๆ เมืองนี้กำลังสนใจคือข่าวที่ว่านักฟุตบอลชื่อดังอย่าง "ดีเอโก้ มาราโดน่า" กำลังจะย้ายมาเตะให้กับทีมประจำเมืองนี้
และแน่นอนครับ หนังในสไตล์ Coming of Age ก็ย่อมแปลว่าตัวละครต้องเจอเรื่องบางเรื่องที่เปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อเขาไปตลอดกาล ซึ่งในหนังจะเป็นเรื่องอะไรนั้น คงเล่าไม่ได้ครับ ต้องไปดูกันเอง
อย่างไรก็ตาม แบบที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่า นี่คือหนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน นั่นก็เพราะมันไม่ได้ถูกเล่าตามสูตรแบบหนังฮอลลีวู้ด ที่เล่าทุกอย่างชัดเจน รวดเร็ว ทุกอย่างถูกวางที่ทางไว้ด้วยสาเหตุบางอย่าง แต่ The Hand of God นั้นเล่าแบบสไตล์หนังยุโรป หนังอินดี้ (แบบที่ถ้าใครเคยดูหนังแนวนี้ จะนึกออก) กล่าวคือ บางฉากเราก็ไม่อาจเข้าใจว่าหมายถึงอะไร บางฉากก็เหมือนจะเหนือจริง บางฉากตัวละครก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย บางฉากก็ทำเอาเราตกใจ บางฉากก็ 18+ บางฉากก็ทำเอาเราตลก บางฉากก็อีหยังวะก็มีครับ
แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ดูรู้เรื่องนะครับ ไม่อินดี้ขนาดไม่รู้เรื่องเลย หนังมีจุดเปลี่ยนที่ชัดเจน (ถ้าดูสองรอบก็จะยิ่งเข้าใจขึ้น) อย่างน้อย ๆ ฉากก็สวย ดนตรีประกอบไพเราะ นักแสดงก็มีเสน่ห์เป็นที่น่าจดจำทุกคน (บางฉากตลกมาก บางฉากโป๊มาก) แต่ถ้าคาดหวังว่ามีจะเรื่องของมาราโดน่า หรือเรื่องฟุตบอลเยอะ ๆ คงผิดหวัง เพราะเป็นแค่ฉากหลังบาง ๆ เท่านั้น
เอาเข้าจริง ผมยังคิดว่าที่หนังชื่อ The Hand of God นั้น นอกจากจะเป็นชื่อ "หัตถ์พระเจ้า" อันเป็นเหตุการณ์ทำประตูที่โด่งดังไปทั่วโลกของมาราโดน่าในปี 1986 แล้ว หนังยังอาจหมายถึงชีวิตของตัวละครในเรื่อง (รวมถึงตัวเราด้วย) ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางทีชีวิตก็สับสน บางทีชีวิตก็เล่นตลก (ที่ไม่ตลก) บางทีชีวิตก็พาเราไปอีกทางแบบที่ไม่เคยคิดฝัน คล้ายเราเป็นหมากตัวหนึ่งในหัตถ์พระเจ้าที่ถูกจับให้เดินไปทางไหนก็ไม่อาจรู้ได้
โดยสรุป เป็นหนังดี แต่รสชาติอาจไม่คุ้นเคย ใครอยากลองของใหม่ ๆ ดูหนังแบบที่ไม่ค่อยได้ดู ลองเริ่มจากเรื่องนี้ได้ เชื่อว่าจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ไม่ค่อยมีตรงกลางแบบดูแล้วเฉย ๆ เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
4.The Lost Daughter (Netflix)
หนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่ก็ยังอยากแนะนำครับ เข้าชิงหลายรางวัลในหลายเวที พล็อตเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ หญิงวัย 48 ปี อาชีพอาจารย์สอนวิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ เธอเดินทางลำพังไปพักผ่อนที่ริมทะเลกรีซ เพื่อหวังจะได้พบกับความสงบ แต่กลับพบคนกลุ่มใหญ่ที่มาพักที่นี่เหมือนกัน เธอได้รู้จักหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นแม่ของลูกสาววัย 3 ขวบ และได้สนิทกันโดยบังเอิญ เรื่องราวของคุณแม่ยังสาวคนนี้ ทำให้อาจารย์สาววัยกลางคนนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังของเธอ
ผมเล่าเรื่องราวไว้ประมาณนี้ ที่เหลืออยากให้ไปดูต่อกันเอง แต่บอกไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังฆาตกรรม ไม่ใช่หนังทริลเลอร์ ไม่มีฉากลุ้นระทึกไล่ล่า แต่เป็นหนังดราม่าเข้ม ๆ ว่าด้วยจิตวิทยา กับประเด็น "ความรู้สึกผิดที่จะมีความสุขในเรื่องที่ไม่สมควรจะมีความสุข" ดังนั้นอย่าได้คาดหวังความตื่นเต้นจากหนังเรื่องนี้ ผมก็เลยบอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า "เป็นหนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน" หนังเล่าตัดสลับปัจจุบันกับอดีตอยู่ตลอด กล้องถ่ายระยะประชิดจนอึดอัดในบางฉาก และหนังเล่าไปเรื่อย ๆ แบบไม่รีบร้อน (แต่คำพูดที่เป็นเสมือนหัวใจของเรื่องนี้ ตอนหล่นออกมาจากปากนางเอกในช่วงท้าย ๆ ก็ทำเอาเราคนดูจำได้ไม่มีลืม) ใครชอบหนังตื่นเต้น เล่าเรื่องแบบเคลียร์ ๆ ตัวดีตัวร้ายชัด ๆ อาจไม่ชอบเรื่องนี้
คนมีลูกน่าจะอินกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย คนไม่มีลูกก็จะรู้สึกอีกแบบ ส่วนคนมีแม่ (ซึ่งคือทุกคน) ก็อาจเข้าใจแม่ในมุมที่เราไม่เคยนึก ส่วนผมเองจะมีไม่ชอบอยู่จุดนึงก็คือ รู้สึกว่านักแสดงที่เล่นเป็นนางเอกวัยกลางคน (Olivia Colman) กับนักแสดงที่เล่นเป็นนางเอกตอนสาว (Jessie Buckley) หน้าตาไม่ค่อยคล้ายกันเท่าไร (หรืออาจเป็นความตั้งใจของผู้กำกับก็ได้ เพราะเรื่องนี้ซ่อนสัญลักษณ์ให้ตีความอยู่หลายจุด)
เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
5.Asakusa Kid (Netflix)
หนังญี่ปุ่นแนะนำมาก ๆ ผมเก็บเข้าลิสต์หนังโปรดในดวงใจตลอดกาลเรียบร้อย แม้จะไม่ถึงขั้นมาสเตอร์พีซ แต่ให้ 10/10 ในแง่ความสนุก หัวเราะร่า น้ำตาริน มีหนังไม่กี่เรื่องที่ทำได้แบบนี้ หนึ่งในนั้นคือหนังเรื่องนี้ครับ
พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าย้อนไปในยุค 70s ประเทศญี่ปุ่น เล่าเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่ง "ทาเคชิ" อดีตคือนักศึกษาวิศวะที่ลาออกกลางคัน เลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทั่วไป จนสุดท้ายได้งานเป็นเด็กกดลิฟต์ที่สถานบันเทิงย่านอาซากุสะ ที่นี่นอกจากจะมีโชว์หญิงสาวเปลื้องผ้าแล้ว ยังมีโชว์ตลกบนเวที (คล้าย ๆ ตลกคาเฟ่บ้านเรา) ที่แสดงนำโดย "ฟุคามิ" เจ้าของสถานที่แห่งนี้
ในเวลาต่อมา ทาเคชิเริ่มหลงใหลในวิชาตลก เขาใช้วิชาครูพักลักจำ ก่อนจะฝากตัวขอเป็นศิษย์ฟุคามิ ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ปากร้ายแต่ใจดี และเรื่องราวหลังจากนั้นก็คือความผูกพันของศิษย์กับอาจารย์ เป็นความผูกพันแบบที่เรียกว่า "ไม่รักแต่คิดถึง" ก็คงพอได้
อันที่จริงผมเห็นโปสเตอร์และเรื่องย่อของหนังเรื่องมาสักพักแล้ว แต่ไม่คิดกดดู เพราะเข้าใจไปเองตามเรื่องย่อที่บอกว่า นี่คือหนังชีวประวัติของดาราดัง ทาเคชิ คิตาโนะ (ปัจจุบันอายุ 74 ปี) ซึ่งคอหนังยุคสัก 20 ปีที่แล้วคุ้นหน้าคุ้นตากันดี พอคิดว่าเป็นหนังประวัติดาราซึ่งผมก็ไม่ใช่แฟนสักเท่าไร จึงไม่ได้กดดู แต่พอเห็นบางคนเริ่มแนะนำว่านี่คือหนังที่เขาชอบที่สุดแห่งปี 2021 (หนังมีให้ดูเมื่อปลายปี 2021) ผมชักเอะใจ ...และไม่ผิดหวังเมื่อดูจบ เราไม่จำเป็นต้องรู้จักเลยก็ได้ว่า ทาเคชิ คิตาโนะ คือใคร เพราะหนังสนุกด้วยตัวมันเอง
นี่คือหนังที่ทำงานกับหัวใจ ความรู้สึกของผมหลังดูจบคืออิ่มเอิบหัวใจ ระลึกนึกถึงผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต (และบางคนจากไป ทั้งจากเป็นและจากตาย) รวมถึงมีกำลังที่จะสู้ต่อไปในห้วงเวลาที่ต้องการกำลังใจมาก ๆ ในยุคโรคระบาดแบบนี้
หนังดีมากครับ ในแง่ของความบันเทิงมีให้ครบถ้วน แสดงดีมาก ตลกมาก ซึ้งมาก (ผมดูพากย์ไทย ทำได้ยอดเยี่ยมมาก แนะนำครับ) ตัวละครน่ารักทุกตัว ไม่ว่าตัวหลักหรือรอง การถ่ายทำสุดยอด จำลองอดีตเหมือนมาก มุมกล้องสวย รวดเร็วทันใจ วิธีเปลี่ยนผ่านจากฉากอดีตสู่ปัจจุบันแล้วหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวคล้ายได้ดูละครเวที เพลงเพราะมาก เสียงกลองรัว ๆ ความสวิงของเพลงแจ๊ส ผมต้องตามไปฟังซาวน์แทร็คใน spotify ต่อ ประทับใจมาก
ดูจบแล้วนึกว่าเมืองไทยเราน่าจะมีทำหนังแบบนี้บ้าง วงการตลกของเราก็เปลี่ยนผ่านมาหลายยุค ตลกคาเฟ่ เทปตลก ตลกในรายการทีวี ตลกร้านหมูกระทะ เดี่ยวไมโครโฟน ฯลฯ ถ้าเล่าเรื่องได้ดีแบบนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นบันทึกวงการตลกของบ้านเราได้ดี
ไม่อยากให้พลาดจริง ๆ ครับสำหรับหนังเรื่องนี้ ผมให้ 10/10 ครับ
6.Mare of Easttown (HBO GO)
ซีรีส์แนะนำครับ 7 ตอน 7 ชั่วโมง ได้ 4 รางวัลจากเวที Primetime Emmy Awards โดยหนึ่งในรางวัลนั้นคือนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม Kate Winslate ที่รับบทแบกหนังทั้งเรื่องไว้ คู่ควรกับรางวัลครับ
พล็อตสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือเรื่องราวของ "แมร์" ตำรวจนักสืบหญิงแห่ง "อีสทาวน์" ชานเมืองฟิลาเดเฟีย วันหนึ่งเกิดคดีฆาตกรรมหญิงสาว เธอได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สืบหาตัวฆาตกรให้ได้ โดยระหว่างนี้เธอก็ต้องคอยซ่อมแซมชีวิตส่วนตัวของเธอที่กำลังพังลงทุกขณะ
ฟังดูพล็อตเรื่องนั้นแสนจะธรรมดา เหมือนเคยดูมาแล้ว ซึ่งก็ถูกต้องครับ แต่ความน่าสนใจของซีรีส์ขนาดสั้นเรื่องนี้มีอยู่หลายอย่างที่มากกว่าแค่โครงเรื่อง ว่ากันตั้งแต่เรื่องราวเกิดขึ้นในชุมชนที่ผู้คนรู้จักหน้าค่าตากันดี ผู้ต้องสงสัยจึงเป็นไปได้ทั้งหมด ตั้งแต่แก๊งค์วัยรุ่น คนติดยา บาทหลวง ฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง หรือแม้แต่คนใกล้ชิด ทำให้คนดูอย่างเราต้องคอยจับผิดว่าใครกันแน่คือคนร้ายคนนั้น (ซึ่งรับรองว่าเดาไม่ถูก หนังเฉลยแทบจะไม่กี่นาทีสุดท้ายก่อนจบ)
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความดีงามทั้งหมดของซีรีส์เรื่องนี้ เพราะเอาเข้าจริง ผมคิดว่าการตามหาตัวคนร้ายเป็นเพียงการขับเคลื่อนให้เรื่องไปข้างหน้าแบบตื่นเต้นน่าลุ้น แต่สิ่งที่ถูกเล่าไปพร้อม ๆ กันคือเรื่องราวของปัญหาในครอบครัว การสูญเสีย การยึดติดอยู่กับอดีต ความไม่ไว้ใจกัน ความไว้ใจกันมากไป การไม่ยอมให้อภัยกัน ...และการไม่ยอมให้อภัยตัวเอง
สำหรับผม ฉากที่ตราตรึงในใจยิ่งกว่าตอนเฉลยตัวคนร้าย กลับเป็นฉากที่นางเอกของเรื่องเข้ารับการบำบัด แล้วได้รับคำแนะนำจากจิตแพทย์ ฉากที่เธอคุยกับแม่ (ที่ไม่ลงรอยกัน) ว่าด้วยการให้อภัย และฉากหลังจากเฉลยตัวคนร้ายที่นำมาซึ่งความรู้สึกประหลาดที่เรียกว่า "ความรู้สึกผิดที่ทำสิ่งถูกต้อง"
เล่ามาทั้งหมด เหมือนหนังจะเครียด แต่เปล่าเลย ดูสนุกมาก น่าลุ้นน่าติดตาม ไม่มีฉากโหดร้ายสยองขวัญ แถมระหว่างทางยังมีบทกุ๊กกิ๊กให้ชื่นใจ มีบทจิกกัดระหว่างแม่ลูกให้หัวเราะดัง ๆ เรื่องนี้ให้ 9/10 ครับ
7.The Last Duel (Disney+)
หน้าหนังดูเหมือนบู๊ ๆ แบบผู้ชาย แต่ไส้ในกลับว่าด้วยสิทธิสตรี ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่หนังไม่ทำเงินเท่าที่คิด ทั้งที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ แสดงโดยนักแสดงชื่อดัง และกำกับโดยผู้กำกับชื่อดัง
[spoil alert ระวังสปอยล์บรรทัดต่อจากนี้ สำหรับใครที่ไม่อยากรู้เลยว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ให้เลื่อนผ่านเลย ส่วนตัวผมคิดว่าพล็อตของหนังเรื่องนี้สั้นมาก และไม่ได้เป็นความลับอะไร ไม่มีผลต่อการดู ตัวอย่างหนังเล่าไว้หมดแล้วด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม บางคนอาจคิดว่าสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้คือการสปอยล์ ผมจึงเขียนเตือนไว้ก่อน]
พล็อตสั้น ๆ หนังเล่าถึงเรื่องจริงที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส เหตุการณ์เกิดช่วงศตวรรษที่ 14 ตัวละครหลักคือสองเพื่อนรักอัศวินนักรบที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันในสนามรบ เมื่อเวลาผ่านไป คนหนึ่ง "ฌอง เดอ คารูจส์" ยังคงเป็นอัศวินออกรบอยู่มิขาด อีกคนหนึ่ง "ฌาร์ค เลอ กรีส์" กลายเป็นมือขวาคนสนิทของท่านเคาน์ผู้เสเพลทั้งสุราและนารี วันหนึ่งทั้งคู่เกิดบาดหมางกันเพราะ "เลอ กรีส์" ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนภรรยาสุดสวยของ "คารูจส์" เธอมีนามว่า "มาเกอร์ริต" คดีความยืดเยื้อและเหมือนจะไม่มีใครเชื่อว่าเธอถูกข่มขืนจริง สุดท้าย "คารูจส์" ตัดสินใจขอใช้วิธีการตัดสินคดีความแบบที่เรียกว่า Duel to the Death (ดวลกันจนตายไปข้างหนึ่ง) เพื่อพิสูจน์ว่า "เลอ กรีส์" คือชายชั่วที่ย่ำยีภรรยาของเขา
สารภาพว่าผมไม่ถนัดหนังแนวพีเรียดต่อสู้อะไรแบบนี้เลย เพราะรู้สึกว่าแต่งตัวคล้ายกันไปหมดจนจำตัวละครไม่ได้ แต่เรื่องนี้ดูง่าย เพราะสาระไม่ได้อยู่ที่การรบพุ่งกัน ตัวละครหลักมีแต่ 3 คน หนังแบ่งเป็น 3 องก์ เล่าเรื่องเดิมจาก 3 มุมมองของตัวละครหลัก ทำให้เห็นมุมมองที่แต่ละคนก็มองในมุมตัวเอง
ใครคาดหวังจะได้ดูฉากบู๊มันส์ ๆ อาจผิดหวัง เพราะมีแค่ช่วงท้ายเท่านั้น นอกนั้นความสนุกจะอยู่ตรงที่เราได้เห็นบริบทอื่น ๆ ของสังคมตะวันตกเมื่อประมาณ 600 ปีก่อน ทั้งเรื่องความเป็นใหญ่ของชาย เรื่องผู้หญิงที่เป็นเพียงสมบัติ เรื่องการรีดเก็บส่วยจากผู้ครองอาณาจักรที่สร้างความลำบากให้ผู้ถูกปกครอง เรื่องการตกเป็นขี้ปากของคนชอบนินทา
เอาจริงผมคิดว่าพล็อตเรื่องประมาณนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ทั้งยุคสมัยและสถานที่ ในความหมายว่า ถ้าเปลี่ยนจากหนังฝรั่งเป็นหนังจีน เปลี่ยนจากเมื่อ 600 ปีก่อน เป็นยุคสมัยสัก 200 ปีในไทย หรือแม้จะปรับนิดหน่อยให้เป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน ก็ยังนำพล็อตเรื่องนี้มาสร้างเป็นหนังได้ เพราะแก่นของมันว่าด้วยสิ่งที่มนุษย์ไม่ค่อยเปลี่ยน อย่างเช่น ความไว้ใจ การหักหลัง ความมัวเมาลุ่มหลง การใช้อำนาจกดขี่ การโกหกเพื่อปกป้องตัวเอง การต้องพิสูจน์ความถูกต้องของตัวเองให้สังคมยอมรับ
เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ ติดที่หนังยาวไปหน่อย (2 ชั่วโมงครึ่ง)
8.Scream 5 (In Theatre)
ประเดิมดูหนังเรื่องแรกในโรงของปี 2022 ด้วยเรื่องนี้ ผมไปดูแบบไม่รู้อะไรเลย (ตอนแรกเข้าใจว่า remake หนังเก่าปี 1996 แต่จริง ๆ คือหนังภาค 5) แค่อ่าน user review คร่าว ๆ ใน imdb คะแนนออกไปในทางชื่นชม ก็เลยตัดสินใจไปดู กะว่าจะย้อนยุค 90s สักหน่อย
ผลคือ "เฉย ๆ" หนังเลือดสาดปาดคอตามสไตล์ slasher film คือทำได้มาตรฐาน เพียงแต่ผมคิดว่าถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้คงจะสนุกกว่านี้ เพราะมีการอ้างถึงตัวละครและเหตุการณ์เดิม (ผมเคยดู แต่ก็ลืมไปหมดแล้ว จึงแอบงง ๆ นิดหน่อย) รวมถึงหากใครเป็นแฟนหนังแนวนี้ก็จะน่าสนุกขึ้นไปอีก เพราะในหนังพูดถึงหนังเรื่องอื่น ๆ ไว้ด้วย เช่น Psycho, Friday the 13th (ตอนขึ้นเครดิตจบ ผมเพิ่งจะรู้ว่า Wes Craven ผู้กำกับ Scream 4 ภาคก่อนหน้านั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2015)
สรุป ใครชอบหนังโหด ๆ เลือดสาด ไม่ต้องคิดมากถึงความสมเหตุสมผล เรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์ แต่ถ้าใครไม่เคยดู Scream มาก่อน อาจจะมีงง ๆ ว่าเขาพูดอะไรกัน ส่วนผมดีใจที่ครั้งนี้เดาถูกว่าใครคือฆาตกร ก็อยู่ในโปสเตอร์นี้เหมือนกับที่คำโปรยบอกไว้นี่แหละ
เรื่องนี้ไม่ขอให้คะแนน เพราะผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้หนังเรื่องนี้
9.Spencer (In Theatre)
โปสเตอร์สวย หนังสวยมาก เรียกว่าทุกช็อตคิดองค์ประกอบภาพมาอย่างดี ดนตรีโดย Jonny Greenwood แห่ง Radiohead งดงาม กดดัน หม่นเศร้า เปียโน เครื่องสาย เครื่องเป่า
พล็อตเรื่องว่าด้วยช่วงเวลาสั้น ๆ 3 วันในปลายปี 1991 (Christmas Eve, Christmas Day, และ Boxing Day) ของเจ้าหญิงไดอาน่า เป็นช่วงเวลาแห่งความสับสนในชีวิต ชีวิตคู่ที่แตกร้าว ชีวิตในวังที่หรูหราแต่น่าอึดอัด และชีวิตที่ต้องตกเป็นจุดสนใจของสื่ออยู่ตลอดเวลา ตัวหนังเล่นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ให้ตีความไม่ยากนัก ทั้งขับรถหลงทาง กินซุปสร้อยคอไข่มุก หุ่นไล่กา บ้านเก่า กิจกรรมยิงนกของชนชั้นสูง รวมถึงประโยคคม ๆ อย่าง "ที่นี่มี Tense เดียว ไม่มี Future ส่วน Past กับ Present นั้นก็เหมือน ๆ กัน"
ส่วนตัวผมคิดว่าเนื้อเรื่องบางไปหน่อย (เพราะเล่าแค่เหตุการณ์ 3 วัน และเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา) แต่เสน่ห์ในความงามเศร้าของนักแสดงนำอย่าง Kristen Stewart ที่แบกทั้งเรื่องเอาไว้ ก็ทำให้หนังน่าดูตลอดทั้งเรื่อง ผมละสายตาจากเธอไม่ได้เลย
ความสวยงามที่น่าอิจฉาเมื่อมองจากภายนอก แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ก็คงไม่ต่างกับโปสเตอร์หนังที่สวยงามอย่างที่เราเห็น ทั้งที่จริงฉากนี้ในหนัง คือตอนที่ไดอาน่ากำลังอาเจียนอยู่หน้าโถส้วม
เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ
10.Never Rarely Sometimes Always (HBO GO)
ได้ยินชื่อเสียงชื่นชมมาเป็นปี แต่หาดูไม่ได้ เพิ่งรู้ว่ามีให้ดูใน HBO GO พอได้ดูจบก็ชอบเลย สมแล้วที่นักวิจารณ์ยกให้เป็นหนังแห่งปี กวาดรางวัลเวทีอินดี้หลายงาน เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าเรื่องของสาววัยรุ่นอายุ 17 ปี วันหนึ่งเธอตรวจพบว่าตั้งครรภ์ และไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้ เธอจึงตัดสินใจปรึกษาคลินิกเพื่อทำแท้ง แต่เรื่องราวไม่ง่ายอย่างนั้น และทำให้เธอต้องออกเดินทางไปเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค
ส่วนตัวผมชอบในความเรียลของหนัง กล้องโคลสอัพหน้านักแสดง ตามติดการเคลื่อนไหว ไม่เน้นภาพสวย การเดินเรื่องอาจไม่เหมาะสำหรับคนชอบอะไรโฉ่งฉ่าง ตื่นเต้น หักมุมแบบหนังฮอลีวู้ด เพราะหนังเล่าไปเรื่อย ๆ ตามสไตล์หนังทุนต่ำ แต่ไม่น่าเบื่อ ไม่งง ถ้าใครชอบหนังอินดี้นิด ๆ เน้นอารมณ์นักแสดง เหมือนได้แอบตามดูชีวิตคนจริง ๆ เรื่องนี้น่าจะชอบครับ มีนักแสดงหลัก ๆ อยู่แค่ 2-3 คนเท่านั้น ผมชอบน้องนักแสดงหลัก Sidney Flanigan เธอเล่นเรื่องนี้เรื่องแรก แต่เข้าถึงอารมณ์สุด ๆ
สรุป เป็นหนังที่เล่าเรื่องการทำแท้งได้ขึงขัง จริงจัง ไม่เศร้าบีบคั้น แต่ก็ตรงเข้าหัวใจ เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ
11.The Summit of the Gods (Netflix)
หนังอนิเมชั่นแนะนำครับ ดีมาก สนุกมาก ภาพสวยมาก ชอบคำนิยมที่เขียนบนโปสเตอร์นี้ "Takes Animation to New Heights" มีสองความหมายซ่อนอยู่ในนั้น หนึ่ง นี่คืออนิเมชั่นที่เล่าถึงนักปีนเขาเอเวอร์เรสต์ ทั้งที่มีตัวตนจริง และจินตนาการขึ้นมา และสอง นี่คืออนิเมชั่นที่ยกระดับวงการไปอีกขั้น ดูแล้วสมจริง ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับคนแสดง
พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าเรื่องในอดีตคู่ขนานไปกับปัจจุบัน จนมาบรรจบพบกันในที่สุด ปัจจุบันคือเล่าถึง "ฟุจิตะ" ช่างภาพที่ติดตามคณะนักปีนเขาเพื่อเก็บรูปถ่ายที่อาจเป็นประวัติศาสตร์หากมีใครทำสถิติใหม่ ๆ ได้ วันหนึ่งฟุจิตะเหมือนได้เห็น "ฮาบุ" นักปีนเขาชื่อดัง ผู้หายตัวไปจากวงการปีนเขาหลายปี ซึ่งหนังจะเล่าย้อนไปในอดีตถึงชีวิตของฮาบุว่าเกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญดูเหมือนว่าฮาบุจะมีกล้องถ่ายรูปของนักปีนเขาในตำนานผู้สาบสูญ (มีตัวตนจริง) ชื่อ จอร์จ มัลโลรี่ ในกล้องนี้มีรูปถ่ายสำคัญ นั่นจึงทำให้ฟุจิตะออกตามหาว่าฮาบุอยู่ที่ไหน ความเจ๋งของเรื่องนี้ที่ผมชอบอย่างแรกก็คือ ภาพสวยมาก เทือกเขา หิมะ งดงามไม่แพ้ภาพจริง ตัวละครก็วาดได้ดี มีแคแรกเตอร์ อย่างต่อมาที่ชอบก็คือการเล่าเรื่องที่สนุก ขนาดผมไม่เคยสนใจเรื่องปีนเขา ก็ยังชอบมาก ดูแล้วลุ้นไปกับหลายฉาก และอย่างสุดท้ายที่ชอบก็คือปรัชญาแง่คิด หลายคนสงสัยว่านักปีนเขาจะเหนื่อยปีนขึ้นไปบนนั้นทำไม ทั้งที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และหลายครั้งก็ไม่มีใครรู้ถึงความสำเร็จนั้น หนังเรื่องนี้ตอบประเด็นนี้ได้ดี เชื่อว่าใครมีประสบการณ์ปีนเขา ปีนหน้าผา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ น่าจะดูแล้วยิ่งอินเป็นพิเศษ ส่วนใครไม่มีประสบการณ์ปีนเขาแบบผม เรื่องนี้ก็ยังสนุก มีฉากแอ็คชั่นให้ลุ้น มีฉากประทับใจให้เก็บไปคิด อยากให้ดูมากครับเรื่องนี้ ผมชอบเลยล่ะ ให้ 9/10 ครับ
12.All of Us are Dead (Netflix)
ซีรีส์เกาหลี 12 ตอน 12 ชั่วโมง เรื่องนี้โหด มัน(ส์) ฮา ครบสูตร พล็อตเรื่องแบบไม่สปอยล์ เรื่องราวเดินตามสูตรหนังซอมบี้ ใครบางคนกลายเป็นซอมบี้ด้วยเหตุบางอย่าง แล้ววิ่งไล่กัดคนอื่นจนกลายเป็นซอมบี้ไปเรื่อย ๆ ความสนุกลุ้นระทึกจึงอยู่ที่การเฝ้าดูกลุ่มตัวละครหลักติดอยู่ในพื้นที่ปิด และต้องหาทางออกไปให้ได้ เพียงแต่เรื่องนี้เขาหาเหลี่ยมมุมได้ดี (สร้างจากการ์ตูนใน webtoon) จับพล็อตวัยรุ่นวุ่นรักมาผสมกับซอมบี้ ก็เลยกลายเป็นหนังมัธยมซอมบี้ (ชื่อไทยตั้งดีมาก ตรง ๆ เข้าใจทันที) ที่เป็น pop culture ฮิตไปทั่วโลก ต้องยอมเกาหลี เขาเก่งจริง ๆ
จุดที่ผมชอบคือ หนังออกแบบฉากได้มีสไตล์มาก ระดับโลกต้องจำ ฉากโรงอาหารที่ถ่ายลองเทค (ถ่ายยาว ไม่ตัด) ฉากห้องสมุด เป็นฉากที่คิดและวางแผนมาอย่างดี มุมกล้องดีมาก ขยันหามุมมองใหม่ ๆ ให้ได้ตื่นเต้นไปกับตัวละคร ซอมบี้ก็น่ากลัวมาก เคลื่อนไหวเร็วมาก แถมชอบเดินตรงมาที่กล้อง ชนิดที่ว่าถ้าเป็นหนัง 3-4 มิติ มีร้องกรี๊ดได้เหมือนกัน
อีกจุดที่ชอบคือ นักแสดงในเรื่องเล่นดีมีเสน่ห์ แคแรกเตอร์น่าจดจำทุกคน แม้จะมีตัวละครหลักเป็นสิบ แต่เราก็จำได้ทุกคน นางเอก หัวหน้าห้อง พี่สาวนักยิงธนู (ผมดูเบื้องหลัง แต่ละคนหน้าตาดีกว่าในซีรีส์อีก นับถือในความไม่ห่วงหล่อห่วงสวยในเรื่องเลย)
และอีกจุดที่ชอบ ผมชอบที่หนังมีช่วงผ่อนคลายให้หายเครียด แทรกมุกตลก มีฉากซึ้งทั้งในมุมเพื่อนและความรักหนุ่มสาว ถือว่าได้หายใจหายคอในฉากแบบนี้ รวมถึงชอบที่ไปแตะเรื่องผู้ใหญ่กับเด็ก นักการเมือง ทหาร มีประโยคคม ๆ หล่นแทรกอยู่ในหลายฉาก เรียกว่าไม่เอามันส์อย่างเดียว แต่แทรกสาระด้วย
ส่วนจุดที่ไม่ชอบสำหรับผมก็คือ คิดว่าซีรีส์ยาวไปหน่อย เอาจริงสัก 6-7 ตอนก็เล่าเรื่องได้ครบแล้ว แถมบางฉาก (ตอนช่วงซึ้ง ๆ) ผมรู้สึกอารมณ์หนังอืด ๆ ช้า ๆ หน่อย สารภาพว่าผมกดเร่งความเร็วเป็น 1.25x อันนี้อาจเป็นแค่ผมคนเดียว สงสัยวัยรุ่นใจร้อน หรือไม่ก็พ้นวัยอินเลิฟแบบเด็ก ๆ แล้ว
สรุป เป็นหนังซอมบี้ที่เดือดมาก โหดมาก มันส์มาก รุนแรงมาก แทรกด้วยความตลก ความซึ้งแบบมิตรภาพและความรักวัยรุ่น และออกจะยาวไปหน่อย คู่ควรแล้วที่ซีรีส์เรื่องนี้จะดังติดอันดับ 1 ยาวนาน แต่คิดว่าน่าจะไม่เป็นกระแสเท่ากับ Squid Game ที่ตั้งใจออกแบบทุกองค์ประกอบให้กลายเป็นแฟชั่นที่ทุกคนทำตามได้
เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ
13.The Florida Project (Netflix)
ดีมาก ชอบมาก เป็นหนังปี 2017 เข้าชิงและกวาดรางวัลหลายเวที แต่ผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน อ่านรีวิวใน imdb แล้วลองกดดู ผลคือดีเกินคาด ชื่อเรื่อง "The Florida Project" ชื่อไทยตั้งดีมาก "แดน (ไม่) เนรมิต"
พล็อตเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าเรื่องของ "มูนี่" เด็กหญิงวัย 6 ขวบ เธออาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยววัยรุ่น สองแม่ลูกเช่าโมเต็ลราคาถูกอยู่ใกล้ ๆ กับดิสนีย์เวิลด์ ฟลอริดา แม่เธอเคยเป็นสาวเต้นยั่วกลางคืน แต่ตอนนี้ตกงาน ไม่ค่อยมีเงิน แม้จะอยู่ใกล้ดิสนีย์เวิลด์แค่เอื้อม แต่มูนี่ก็ไม่เคยเข้าไปในนั้น ก็ขนาดค่าห้องแม่ยังจ่ายช้า แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อตั๋วแสนแพง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเด็กอย่างมูนี่ เพราะเธอมีเพื่อนเด็ก ๆ วัยเดียวกันอยู่ 2-3 คน วันทั้งวันแค่หาอะไรเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็สนุกแล้ว
เล่าไว้ประมาณนี้ก็แล้วกัน ที่เหลือต้องลองดูต่อเอง โทนหนังไม่ใช่หนัง feel good แต่ก็ไม่หดหู่บีบคั้น ไม่มีฉากน่ากลัว นำแสดงโดยเด็ก แต่ไม่ใช่หนังเด็ก มีคำหยาบอยู่เป็นระยะ หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับคนชอบดูหนังแมส ตื่นเต้น เรื่องราวใหญ่โต มีจุดเปลี่ยนรุนแรง เพราะที่ว่ามานี้ไม่มีในหนังเรื่องนี้เลย
The Florida Project เล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ เหมือนแอบดูชีวิตของคนในโมเต็ลแห่งนี้ เราจะได้เห็นผู้เช่ารายอื่น ๆ เห็นผู้จัดการโมเต็ล เห็นนักท่องเที่ยว จนกระทั่งท้าย ๆ เรื่องนั่นแหละครับ ถึงจะมีจุดเปลี่ยน ซึ่งก็ดูแล้วเป็นเรื่องที่เกิดได้ในชีวิตจริง หนังเรื่องนี้จึงคล้าย ๆ ดูสารคดีอยู่บ้าง เว้นก็แต่ฉากจบ ซึ่งบางคนอาจเหวอ ว่าเอาอย่างนี้เลยรึ? แต่ผมชอบ ชอบมาก เข้าใจคิดฉากจบจริง ๆ
ที่ผมชื่นชมสุด ๆ คือนักแสดง เด็ก ๆ ในเรื่องทำไมแสดงเก่งแบบนี้ อายุแค่ 6-8 ขวบ เล่นหนังได้แล้ว เป็นธรรมชาติมากจนเหมือนไม่ได้แสดง สุดจริง ๆ ครับ ส่วนนักแสดงที่เล่นเป็นคุณแม่ยังสาว ก็เพิ่งเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แต่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ดีมาก นับถือจริง ๆ เรื่องนี้มีดาราดังอยู่แค่คนเดียวคือ Willem Dafoe เล่นเป็นผู้จัดการ
สรุป ใครชอบในความเรียล ชอบหนังค่าย A24 (จัดจำหน่าย) ชอบดูหนังสะท้อนเรื่องครอบครัว น่าจะชอบ เรื่องนี้ให้ 9/10 ครับ
14.One for the Road (In Theatre)
"One for the Road : วันสุดท้าย...ก่อนบายเธอ" กำกับโดย "บาส นัฐวุฒิ" ผู้กำกับหนังพันล้าน "ฉลาดเกมส์โกง" อำนวยการสร้างโดย "หว่องกาไว" ผู้กำกับระดับตำนาน ผลออกมาเป็นหนังภาพสวยเท่อาร์ตแสงสไตล์หว่อง แต่กระชับฉับไวดูง่ายสไตล์ ผกก.บาส
พล็อตเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ "อู๊ด" กับ "บอส" สองเพื่อนสนิทคนไทยวัย 30 ปีที่เคยรู้จักกันที่นิวยอร์คเมื่อ 10 ปีก่อน วันนี้ต้องขับรถออกเดินทางไปด้วยกัน โคราช สมุทรสงคราม เชียงใหม่ นครสวรรค์ พัทยา เนื่องจากอู๊ดป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เหลือเวลาอีกไม่มาก เขาอยากกลับไปหาแฟนเก่า (ส์) เพื่อคืนของบางอย่างให้...เพื่อเก็บเป็นความทรงจำครั้งสุดท้าย
เล่าไว้ประมาณนี้ครับ ที่เหลือต้องดูก่อนจะโดนสปอยล์ เพราะหนังมีจุดหักมุมที่สำคัญ โดยรวมผมชอบบรรยากาศ ชอบที่หนังค่อย ๆ อุ่นเครื่องจากบรรยากาศสบาย ๆ ติดตลก แล้วค่อย ๆ ดราม่าขึ้นเรื่อย ๆ จนคลี่คลายตอนจบ
ชอบงานด้านภาพ สวยทุกฉาก (แอบโปรโมทเมืองไทยได้อย่างสวยงาม) ชอบนักแสดงเล่นดีทุกคน (โดยเฉพาะสองนักแสดงหลัก "ต่อ" กับ "ไอซ์ซึ" ไม่ธรรมดา) ชอบที่ใช้เพลงสากลยุค 60s-70s เป็นเพลงประกอบ (One is the Loneliest Number-Three Dog Night/Tiny Dancer-Elton John/Dreamer-Supertramp/Father and Son-Cat Stevens/Time is on My Side-The Rolling Stones)
ส่วนที่ไม่ชอบนิด ๆ ก็คือรู้สึกพล็อตมีความละครไปหน่อย เมื่อบวกกับภาพที่สวยแบบตั้งใจให้สวยมาก ๆ ผมเลยยังไม่รู้สึกอินแบบเสียน้ำตาครับ (อันนี้แล้วแต่ประสบการณ์ร่วม บางคนอาจจะอินก็ได้)
สรุป เป็นหนังไทยคุณภาพ ขอเอาใจช่วยให้ดังระดับโลกครับ เรื่องนี้ดูง่าย ไม่อาร์ตจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ภาพสวย เพลงเพราะ นักแสดงสวยหล่อ เท่านี้ก็คุ้มค่ากับเวลาสองชั่วโมงในโรงภาพยนตร์แล้ว เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ
15.The Tinder Swindler (Netflix)
หนังสารคดีที่สนุกมาก ลุ้นไม่ต่างกับดูหนังทริลเลอร์ เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือสารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของหญิงสาวที่ถูกต้มตุ๋นโดยหนุ่มที่รู้จักกันผ่านแอพหาคู่เดทที่ชื่อ Tinder หนุ่มคนนี้ใช้ชื่อ Simon Leviev รูปหล่อพ่อรวย จนยากที่จะไม่ตกหลุมรัก (และโดนหลอกในที่สุด)
ความสนุกของสารคดีเรื่องนี้ก็คือ เล่าเรื่องและตัดต่อได้ดีมาก ดูแล้วตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อ ผมดูแบบไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก่อน ตอนแรกยังคิดว่าภาพและวิดีโอที่เห็นในหนังคือนักแสดงที่แสดงเลียนแบบเหตุการณ์จริง ปรากฏว่าที่เห็นในสารคดีคือตัวจริงเสียงจริงทั้งหมด (ทั้งเหยื่อและคนร้าย) คลิปวิดีโอก็ของจริง บทสนทนาในแช็ตก็ของจริง (มีแค่ฟุตเทจบางอันที่ใส่เข้ามาให้เล่าเรื่องได้เร้าใจและภาพสวยขึ้น)
สรุปว่าเป็นสารคดีที่ดูสนุกมาก ดูแล้วเข้าใจหญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อเลยว่า ถ้าเราเจอแบบนั้นบ้าง เราอาจคิดไม่ทันหรือไม่ทันคิดแบบเธอก็ได้ เพราะจิตวิทยาแห่งการหลอกลวงที่คนร้ายใช้นั้นสมบูรณ์แบบจริง ๆ
ใครดูจบแล้ว อยากให้ลองเข้าไปอ่านใน เว็บไซต์หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของนอร์เวย์ที่ชื่อ VG ซึ่งปรากฏอยู่ในหนัง เขาออกแบบ UI/UX ดีมาก การวางภาพ ตัวหนังสือ ใส่วิดีโอ (แนะนำให้เปิดโดยมือถือ) เรียกว่าเล่าเรื่องได้แทบไม่ต่างกับการดูหนังสารคดีเรื่องนี้ (มีบางส่วนละเอียดกว่าด้วย)
เรื่องนี้ให้ 9/10 ครับ
16.The White Lotus (HBO GO)
มินิซีรีส์สนุกมาก ความยาว 6 ตอน 6 ชั่วโมงกำลังดี ใครชอบหนังตลกร้ายว่าด้วยความสัมพันธ์ น่าจะชอบเรื่องนี้ครับ พล็อตสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ เรื่องราวเกิดขึ้นที่รีสอร์ทชื่อ The White Lotus ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเมาวี ฮาวาย หนังโฟกัสไปที่นักท่องเที่ยวมีอันจะกินกลุ่มหนึ่ง อันประกอบไปด้วย คู่รักเพิ่งแต่งงาน ครอบครัวพ่อแม่ลูกสาวลูกชาย (และเพื่อนลูก) และสาวใหญ่ที่เดินทางมาลำพัง
ทั้งหมดมาพักผ่อนที่นี่หนึ่งสัปดาห์ โดยได้รับการดูแลอย่างดีจากผู้จัดการรีสอร์ทและผู้จัดการสปา ตลอดช่วงเวลาที่ทั้ง 10 คนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันบนเกาะ เขาและเธอจะข้องเกี่ยวกันไปมา ทะเลาะกันเองบ้าง ขัดแย้งกับคนอื่นบ้าง จนกลายเป็นเรื่องราวให้เราติดตาม และสนุกสนานไปกับชะตากรรมของพวกเขาเหล่านี้
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ มันดูได้ 2 แบบ แบบแรก ดูแบบสนุกสนานตลกร้ายไปกับ "ความพัง" ในความสัมพันธ์ของพวกเขา ตัวละครทุกตัวล้วนอยู่กับความรู้สึกลึก ๆ ว่า "ตกลงมีใครรักฉันจริงบ้าง? มีใครเข้าใจฉันบ้างไหม?" ความสัมพันธ์ที่ว่านั้นมีตั้งแต่ สามี-ภรรยา (ข้าวใหม่ปลามัน/แต่งกันมานานแล้ว) พ่อ-ลูกชาย แม่-ลูกสาววัยรุ่น เพื่อนกับเพื่อน ซึ่งเชื่อว่าคงมีสักความสัมพันธ์ที่คนดูอย่างเราจะอินเป็นพิเศษ
ส่วนการดูอีกแบบ ถ้าใครชอบตีความ ก็จะสนุกไปอีกระดับครับ คนเขียนบทเก่งมากที่เอาเรื่องหนัก ๆ (คนผิวดำ-คนผิวขาว คนรุ่นใหม่-คนรุ่นเก่า คนรวย-คนจน ชาย-หญิงที่ให้คุณค่ากันคนละเรื่อง รักร่วมเพศ ไปจนถึงเรื่องการล่าอาณานิคม) มาสอดแทรกลงไปในโครงเรื่องและบทสนทนาได้ลงตัว ได้ทั้งความสนุก ลุ้น ตลกร้ายกาจ แต่ก็เป็นความจริงมาก ๆ
ส่วนข้อติที่มีอยู่บ้างก็คือ เนื่องจากต้องนำเสนอความสัมพันธ์หลายรูปแบบ ตัวละครส่วนใหญ่ก็เลยถูก Stereotype คือมีแคแรกเตอร์มาตรฐานที่เราคุ้นเคยดี เช่น คุณแม่เวิร์คกิ้งวูแมน ลูกสาววัยรุ่นจอมขบถสังคม ลูกชายเนิร์ดติดมือถือ หนุ่มลูกคนรวยเอาแต่ใจ อะไรแบบนี้เป็นต้น (แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้หนังดูง่าย จดจำตัวละครได้เร็วครับ)
สรุป เป็นซีรีส์ที่สนุกมาก (แม้ตอนจบผมจะเฉย ๆ ก็ตาม) ไม่ได้มีฉากน่าตื่นเต้นแบบอะดรีนาลีนหลั่ง แต่ก็ชวนให้ดูอีพีต่อไปแบบไม่อยากหยุด ดนตรีประกอบสไตล์ฮาวายเพราะมาก ๆ (เพลง Main Title สุดยอด ดนตรีแปลกประหลาดแต่ติดหูมาก ยกให้เป็นหนึ่งในสกอร์ที่ชอบที่สุด) ซีรีส์ได้ 18+ เพราะมีฉากยาเสพติด ฉากเปลือย ไม่เหมาะกับเด็ก ๆ แต่สำหรับผู้ใหญ่ น่าจะดูแล้วชอบ (ส่วนหนุ่ม ๆ คุณจะได้โบนัสเพิ่มเติม จาก Alexandra Daddario ที่สวยและหุ่นดีจนละสายตาไม่ได้)
แนะนำครับ ถือเป็นเรื่องที่ชอบมากในปีนี้ เรื่องนี้ให้ 9/10
17.Everyday A Good Day (Netflix)
หนังญี่ปุ่นแนะนำมาก ๆ สำหรับใครที่อยากผ่อนคันเร่งชีวิตลงบ้าง เรื่องนี้เลย ชื่อญี่ปุ่น "Nichi Nichi Kore Koujitsu" ชื่ออังกฤษ "Everyday A Good Day" ชื่อไทย "หัวใจ ใบชา ความรัก" หนังตั้งแต่ปี 2018 เคยเข้าฉายบ้านเราปี 2019 ตอนนี้ปี 2022 มีให้ดูใน Netflix
พล็อตคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าถึงชีวิตหญิงสาวแสนธรรมดาคนหนึ่งตั้งแต่ตอนที่เธออายุ 20 ปี กำลังจะจบมหาวิทยาลัย ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบทำงานอะไรกันแน่ เธอเป็นคนปานกลาง ออกไปทางซุ่มซ่าม วันหนึ่งแม่แนะนำให้ไปเรียนชงชา เธอกับญาติสาว (ที่ดูสวย ร่าเริง และมั่นใจกว่าเธอ) จึงใช้เวลาทุกวันเสาร์ไปเรียนชงชาซึ่งมีพิธีรีตองมากมาย ซึ่งเราคนดูก็จะค่อย ๆ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว ผ่านฤดูกาลผ่านวันเวลาที่ผันแปรไป
เรื่องนี้ต้องบอกไว้ก่อนครับว่าไม่เหมาะกับคนใจร้อน ไม่เหมาะกับคนชอบดูหนังที่มีความขึ้นลงของสถานการณ์ ชอบความตื่นเต้น ชอบความดราม่าน้ำตาแตก เพราะหนังเรื่องนี้เนิบนาบมาก ฉากส่วนใหญ่คือการชงชาในห้องฝึกชงชา ตัวละครหลักมีแค่ 2-3 คน และแม้ว่าหนังจะเล่าช่วงเวลากว้างถึงสิบกว่าปี เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบชีวิตหญิงสาว ทั้งการงาน ความรัก และครอบครัว แต่โดยรวมแล้ว ถือเป็นหนังที่นิ่งมาก ทิ้งคนดูให้ห่างจากอารมณ์บีบคั้นเมื่อตัวละครต้องเจอสถานการณ์บางอย่าง แต่พอเป็นฉากชงชา กลับชวนคนดูมาละเลียดทุกขั้นตอนอย่างละเอียดทั้งภาพและเสียง (สาย ASMR จะต้องถูกใจกับเสียงของหนังเรื่องนี้)
แล้วถ้ามันน่าเบื่ออย่างนั้น ตกลงหนังเรื่องมีอะไรน่าดู? นั่นคือสิ่งที่เหลือเชื่อครับ สารภาพว่าตอนแรกผมดูแล้วเบื่อมาก ทำไมชงชานานจัง ทำไมไม่ถ่ายอย่างอื่นบ้าง แต่ก็ยังดูไปเรื่อย ๆ (แถมไม่หลับ ทั้งที่ผมเป็นคนหลับง่ายมาก) จนกระทั่งจับจังหวะหนังได้ จนกระทั่งตัวละครเริ่มพูดหลายประโยคที่งดงามราวกับบทกวีแห่งชีวิต ...รู้ตัวอีกที ผมก็ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้จนอยากดูซ้ำอีกรอบ
ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับว่าเพลงประกอบหนังเรื่องนี้คือที่สุด เพราะมาก ผมฟังวนไปมาทั้งวัน ลองฟังใน youtube ที่นี่ (ฟังทั้งอัลบั้มใน spotify ที่นี่ )
โดยสรุป ใครชอบความญี่ปุ่นแบบ Traditional ชอบหนังภาพสวย บันทึกเสียงเยี่ยม (หนังมีพากย์ไทย แต่แนะนำให้ดูเสียงญี่ปุ่น ตัวละครพูดไม่เยอะ) ชอบความเซ็น ชอบปรัชญาแบบญี่ปุ่น และรับความเนิบช้าของหนังได้ เรื่องนี้คุณน่าจะชอบ
ไม่มากก็น้อย หลังดูจบ คุณจะได้เห็นได้ยินรายละเอียดของผู้คนและสิ่งรอบข้างมากขึ้น คุณจะทะนุถนอมชีวิตที่เหลืออยู่มากขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น เรื่องนี้ให้ 9/10 ครับ
18.West Side Story (Disney+)
หนังมิวสิคัลฟอร์มยักษ์เข้าชิง 7 ออสการ์ กำกับโดย Steven Spielberg เพิ่งเข้าโรงเมื่อไม่กี่เดือน วันนี้มีให้ดูที่บ้านแล้ว เรื่องนี้รีเมคจากละครเวทีและภาพยนตร์ระดับตำนาน หลายคนอาจรู้พล็อตเรื่องดีอยู่แล้ว
พล็อตคร่าว ๆ คือ เหตุเกิดในแมนฮัตตัน หญิงชายคู่หนึ่งตกหลุมรักซึ่งกัน แต่ปัญหาคือทั้งคู่มาจากคนละฝ่ายที่ไม่ถูกกัน ฝ่ายหญิงสาวมีพี่ชายเป็นหัวหน้าแก๊งค์ชาวเปอร์โตริกันที่อพยพมาอยู่ที่แมนฮัตตัน ฝ่ายชายหนุ่มมีเพื่อนรักเป็นหัวหน้าแก๊งค์วัยรุ่นอเมริกันผิวขาว สองแก๊งค์นี้มีเรื่องตีต่อยแย่งชิงพื้นที่อิทธิพลกันอยู่เนือง ๆ ความรักครั้งนี้จึงมีอุปสรรคให้ต้องฝ่าฟัน
พล็อตเรื่องคงไม่มีอะไรให้ลุ้น (เพราะรู้อยู่แล้ว) แต่เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้คือการออกแบบภาพที่งดงามทุกฉาก ลีลาการเต้นที่สนุกสนาน (และโคตรเก่ง) เพลงที่แม้ไม่ติดหูชวนร้องตาม แต่ก็ไพเราะและเล่าเรื่องได้ดี ทั้งหมดนี้จึงคุ้มกับเวลาสองชั่วโมงครึ่งที่จะดูหนังเรื่องนี้ครับ ครบทุกรส โรแมนติก ตลก และเสียดสีความเหลื่อมล้ำของชนชั้น
สรุปว่า ยิ่งใหญ่ อลังการราวกับได้นั่งดูละครเวทีอยู่ที่บ้าน บ้านไหนมีทีวีจอใหญ่ ๆ จะฟินมากครับ เรื่องนี้ให้ 8/10
19.Scenes from a Marriage (HBO GO)
มินิซีรีส์แนะนำ ชอบมาก เต็ม 10 ให้ 100 ไปเลย ความยาวแค่ 5 ตอน 5 ชั่วโมง ดูได้ใน HBO GO ใครยังไม่ได้สมัคร แค่ดูเรื่องนี้เรื่องเดียวก็คุ้มแล้วครับ (ไม่ได้ค่าโฆษณา)
เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือซีรีส์ที่พูดถึง "ชีวิตคู่" ตัวละครคือสองสามีภรรยาวัย 40 ที่แต่งงานกันมา 10 ปีแล้ว มีลูกสาวอายุ 4 ขวบ สามีเป็นชาวยิว อาชีพคืออาจารย์สอนวิชาปรัชญา ภรรยาเป็นชาวอเมริกัน ทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทเทคชื่อดัง นี่คือสิ่งที่เราคนดูรู้หลังจากผ่านไป 5 นาที เพราะทั้งคู่กำลังให้สัมภาษณ์กับนักวิจัยที่กำลังศึกษาเรื่องชีวิตคู่ ซึ่งพอเราฟังสัมภาษณ์ไปเรื่อย ๆ เราก็จะเริ่มจับความรู้สึกได้ว่า สองสามีภรรยาคู่นี้มีความคิดอ่านที่ไม่ลงรอยกันอยู่ลึก ๆ และใครบางคนมีเรื่องบางอย่างซ่อนเร้นไว้ในใจ
เรื่องราวต่อจากนี้ ขอไม่เล่าต่อ อยากให้ดูเอง ส่วนตัวผมชอบตรงที่รายละเอียดของบทนั้น "สมจริงมาก" ใครมีชีวิตแต่งงานสักสิบปีขึ้นไป อาจมีบางช่วงบางตอนที่คล้ายกับเรื่องราวในหนัง กับหลากอารมณ์ของชีวิตคู่ หัวเราะ ร้องไห้ โกรธ แค้น ไม่เข้าใจ กลุ้มใจ วิตกกังวล ปลอบประโลม ให้กำลังใจ รัก เซ็กซ์ เผลอตัวเผลอใจ การตัดสินใจมีหรือไม่มีลูก สมดุลระหว่างงานและเวลาที่ให้ครอบครัว ความคาดหวังที่มีต่อแต่ละเพศ และอีกมากมายที่นิทานเจ้าหญิงเจ้าชายไม่ได้เล่าเอาไว้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ความเร่าร้อนจืดจางลงไปตามเวลา
และที่ผมชอบมาก ทึ่งมาก ๆ ก็คือสองนักแสดงนำ ที่แสดงเหมือนไม่ได้แสดง แต่เป็นคู่รักที่รักกันจริง ๆ มาสิบปีแล้วเหมือนในเรื่อง (ที่เจ๋งก็คือ หนังตั้งใจทำให้เห็นตั้งแต่ต้นเลยว่าสองคนนี้เขา "แสดงอยู่นะ" มีตากล้องถ่ายอยู่ มีทีมงานอีกเป็นสิบอยู่รอบ ๆ) โดยทั้ง 5 ตอนนั้น หนังจะกระโดดข้ามเวลาไปข้างหน้า กินระยะเวลาประมาณ 7 ปี เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามเวลา ทั้งสุข ทุกข์ ผิดพลาด และเติบโตจนยอมรับอย่างเข้าใจ (ผมนึกถึงคำว่า "คู่ทุกข์คู่ยาก")
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกก่อนว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่เหมาะกับทุกคนครับ ใครชอบหนังที่มีความดราม่าเยอะ ๆ ตบตี มีตัวร้าย แอ็คชั่น หักมุม สะใจหรืออะไรทำนองนี้ อาจดูเรื่องนี้แล้วเบื่อจนหลับ เพราะ 90% ของเรื่อง มีแต่นักแสดงนำสองสามีภรรยาเท่านั้น ฉากก็อยู่แต่ในบ้าน 95% เกือบไม่มีฉากอื่น ๆ เลย และแทบจะ 100% ของหนังมีแต่การพูดคุยกันของสองคนนี้ อารมณ์เหมือนดูละครเวทีครับ แต่ถ้าใครสายลึก ชอบดูการแสดงจัด ๆ อยากศึกษาวิธีการเขียนบทสนทนา รับรองว่าจะต้องชอบซีรีส์เรื่องนี้ (ใครเคยดู Before Sunrise น่าจะเข้าใจ)
สรุป นี่คือหนังที่พูดถึง "เรื่องยาก ๆ ในชีวิตคู่" ไม่ว่าจะมีคู่หรือไม่มีก็ตาม อยากให้ลองดู ส่วนตัวผมคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้เล่าหลายอารมณ์ของมนุษย์ที่ขัดแย้งกันได้ดีมาก แค่ 5 ตอนแต่บอกเลยว่าพีคมาก เรื่องนี้ เต็ม 10 ให้ 100 ไปเลย
20.Knives Out (Netflix)
หนังเคยเข้าโรงหนังเมื่อปลายปี 2019 แต่ผมไม่ได้ดู ตอนนี้ปี 2022 มีให้ดูใน Netflix แล้ว ใครชอบดูหนังสืบสวนหาตัวคนร้าย สไตล์นิยายของ อกาธา คริสตี้ เรื่องนี้น่าจะถูกใจ
เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือเรื่องราวของครอบครัวใหญ่ มีอันจะกิน คุณปู่เป็นนักเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนชื่อดัง หนังสือขายได้หลายสิบล้านเล่ม ลูกหลานก็เลยพลอยสบายไปด้วย คืนหนึ่งในงานฉลองอายุ 85 ปีของคุณปู่ ลูกหลานมารวมตัวกัน เหตุการณ์ปกติจนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง แม่บ้านพบคุณปู่กลายเป็นศพ สภาพเหมือนฆ่าตัวตาย แต่เรื่องดูไม่ชอบมาพากล นักสืบเอกชนจึงถูกจ้างมาไขคดีนี้
ใครเป็นคอนิยายสืบสวน ก็คงนึกออกว่าพล็อตแบบนี้คือสูตรสำเร็จ ผู้คนมารวมตัวกัน มีใครบางคนตาย มีใครบางคนได้ประโยชน์จากความตาย มีนักสืบสมองใสมาไขคดี แต่ถึงอย่างนั้นบนความซ้ำ Knives Out ก็ทำออกมาได้สนุกมากครับ ทั้งลุ้น ทั้งตลกร้าย เต็มไปด้วยดาราดัง (นำโดย Daniel Craig ที่ดูผ่อนคลายกว่า 007 และ Ana de Armas ที่สวยเซ็กซี่ทะลุจอ ซึ่งทั้งสองคนนี้จะมาเจอกันอีกในหนัง 007 No Time To Die)
ช่วงแรกของหนังที่ตัวละครถาโถมเข้ามาหลายคน อาจต้องมีสมาธิหน่อยว่าใครเป็นใคร แต่หลังจากจำได้แล้วก็จะเริ่มสนุกครับ พล็อตเรื่องสมเหตุสมผล หลอกล่อเราจนแทบนาทีสุดท้าย
เป็น 2 ชั่วโมงที่สนุก ไม่น่าเบื่อเลย เรื่องนี้ให้ 9/10 ครับ
21.Turning Red (Disney+)
ขึ้นชื่อว่า Pixar ไม่เคยทำให้ผิดหวังทั้งภาพและเนื้อเรื่อง แม้ไม่ถึงขั้นมาสเตอร์พีซ แต่ดูแล้วไม่เสียดายเวลาแน่นอน ยิ่งใครมีลูกสาว เป็นลูกสาว เป็นชาวเอเชียอย่างเรา ๆ น่าจะชอบเรื่องนี้
พล็อตคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือเรื่องราวของครอบครัวชาวจีนในเมืองโตรอนโต แคนาดา ตัวเอกคือเด็กหญิงวัย 13 นามว่า "เหมยลี่" ครอบครัวของเธอดูแลศาลเจ้าจีนที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่ต้นเรื่องเราจะเห็นได้ชัดว่าเหมยลี่ "พยายาม" ให้แม่ยอมรับและภูมิใจในตัวเธอ เธอตั้งใจเรียน (โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์) และแอบซ่อนความชอบของเธอไว้ (ชอบวาดรูป ชอบเต้น ชอบหนุ่ม ๆ ชอบวงบอยแบนด์ อยากไปดูคอนเสิร์ต) จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุบางอย่าง ทำให้เธอกลายร่างเป็น "แพนด้าแดง" ตัวใหญ่ขนฟู เหมยลี่สังเกตว่าเธอจะกลายร่างทุกครั้งที่อารมณ์รุนแรง (เช่น โกรธ)
เรื่องราวหลังจากนั้นก็คือความวุ่นวายที่เกิดจากการกลายเป็นแพนด้าแดง ซึ่งจริง ๆ ยังมีประเด็นที่ซ่อนอยู่อีกพอสมควร (ผมไม่ได้เล่า เดี๋ยวจะสปอยล์) ต้องลองดูเองครับ สิ่งที่น่าทึ่งคือ หนังการ์ตูนเรื่องนี้มี "ความเอเชีย" อยู่สูงมาก บางจริตเหมือนการ์ตูนจีน การ์ตูนญี่ปุ่น ถือว่าแปลกตา(ผู้กำกับและเขียนบท เป็นหญิงสาวเชื้อสายจีนที่มาอยู่โตรอนโตตั้งแต่เด็ก เคยกำกับหนังสั้นรางวัลออสการ์ Bao ดูได้ใน Disney+ เช่นกัน) แถมพล็อตเรื่องก็มีความเอเชียไม่แพ้กัน (แม่ที่ควบคุมชีวิตลูก/ลูกที่รู้สึกไม่ดีพอในสายตาแม่)
โดยสรุป ถือเป็นอนิเมชั่นที่ภาพสวยมาก สีสันสดใส เด็กดูได้ พล็อตเข้าใจไม่ยาก ไม่มีภาพหรือคำไม่เหมาะสม แต่ถ้าเด็กโตสักหน่อย (สัก 12 ปีขึ้นไป) น่าจะยิ่งสนุก เพราะมีประเด็นแม่ลูก (เรื่องนี้พ่อรับบทรองมาก ๆ) ส่วนผู้ใหญ่ก็ดูได้ (สาว ๆ น่าจะชอบกว่าหนุ่ม ๆ) คนไทยเชื้อสายจีนยิ่งน่าจะชอบ
เรื่องนี้ผมให้ 8/10 แต่ลูกสาวสองคน (อายุ 12 กับ 16) ให้ 10/10 ครับ พวกเธอชอบมาก
22.Pam & Tommy (Disney+)
มินิซีรีส์แนะนำ เต็ม 10 ให้ 100 ไปเลย สมบูรณ์แบบ ดีกว่าที่คิดไว้เป็นร้อยเท่า สนุก ตลก ลุ้น มีแง่คิด ได้หวนนึกถึงยุค 90s ครบเลย มี 8 อีพี ยาวไม่ถึง 6 ชั่วโมง
พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือหนังที่สร้างอ้างอิงจากเรื่องจริงของคู่รักเซเลบริตี้ยุค 90s อย่าง Pamela Anderson (ดาราสาวสุดเซ็กซี่จากซีรีส์ Baywatch) และ Tommy Lee (มือกลอง Mötley Crüe วงร็อคชื่อดังแห่งยุค 80s) ทั้งสองรู้จักกันแค่ 4 วันก็ตัดสินใจแต่งงานกัน จึงเป็นที่สนใจของสื่อ ปาปารัสซี่ตามถ่ายรูปตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1995 เกิดเรื่องอื้อฉาว เมื่อ Sex Tape หรือวิดีโอที่ทั้งคู่ถ่ายกันเองตอนมีกิจกาม ถูกขโมยและเผยแพร่ไปทั่ว เกิดกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อจับจ้องเป็นพิเศษ
เล่าไว้ประมาณนี้ ที่เหลืออยากให้ลองดูกันเอง ส่วนตัวผมยอมรับว่าตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะสนุก ไม่เห็นจะอยากรู้เรื่องฉาวของคนดัง (และอันที่จริง ผมก็ไม่เคยติดตามงานของทั้งคู่เลย) แถมเรื่องราวก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว มันจะดีจริงหรือ? ปรากฏว่าแค่อีพีแรก ผมรู้ทันทีว่าเจอของดีเข้าให้แล้ว เชื่อว่าถ้าใครดูหนังมาระดับหนึ่งน่าจะนึกออกว่าเวลาเจอหนังดี บทดี แสดงดี กำกับดี เราดูแป๊บเดียวก็รู้เลยว่ากลุ่มคนทำหนังเรื่องนี้ "ทำหนังเป็น" เอาคนดูอยู่หมัด ชวนให้เราติดตามทุกฉาก ตัวละครไม่มีใครดีสุดขั้ว ชั่วสุดขีด ยิ่งบทประเภท "คนดี ๆ จำเป็นต้องทำเรื่องไม่ดีบางอย่าง" พล็อตแบบนี้สนุกทุกที
ความคาดหวังในทีแรก ผมคิดว่าคงได้เห็นแค่ชีวิตหรูหราของคนดัง ได้เห็นความรักฉาบฉวยของร็อคสตาร์กับดาราเซ็กซี่ แต่ผิดคาดครับ หนังให้มากกว่านั้นมาก โดยเฉพาะตัวละครที่ขโมยวิดีโอเทปเจ้าปัญหาม้วนนั้น ทำให้เรื่องสนุกและดราม่าขึ้นมาก ๆ นักแสดงเล่นดีทุกคน เชื่อสนิทใจว่าเขาและเธอคือคนคนนั้นจริง ๆ ส่วนพล็อตเรื่องนั้นก็มีเสริมเติมแต่งไปบ้างเพื่อให้สนุก เพราะนี่ไม่ใช่สารคดีครับ
ทั้งหมดนี้ยังไม่นับฉากหลังที่เกิดในยุค 90s การแต่งกาย ทรงผม รถยนต์ ทาวเวอร์เร็คคอร์ด เพลงฮิตในยุคนั้น หนังฮิตในยุคนั้น และการมาถึงของสิ่งที่จะเปลี่ยนโลกอย่าง "เว็บไซต์"
สรุปสั้น ๆ ก่อนจะเขียนยาวไปกว่านี้ (เพราะชอบมาก) ผมคิดว่าถ้าใครชอบดูหนังที่คนดี ๆ ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำไม่ดี ต้องเจอคนไม่ดี (ประมาณ Breaking Bad/Better Call Saul) ชอบดูหนังตลกร้ายมีสไตล์ว่าด้วยวงการหนังโป๊ (เช่น Boogie Nights) น่าจะชอบเรื่องนี้ และจะชอบมากเป็นพิเศษ ถ้าคุณเคยผ่านยุค 90s มาและชอบดูหนังฟังเพลงฝรั่งในยุคนั้น
โคตรดี เรื่องนี้ เต็ม 10 ให้ 100 (ปล.แม้จะอยู่ในดิสนีย์ แต่หนัง 20+ มีหลายฉากที่ไม่เหมาะกับเด็กเลย)
Comments