1.
ให้ตายเถอะ ฝาบาตรร่วง! ...วันนี้หมดแรง โหย ๆ ยังไงไม่รู้ ตาข้างขวาก็ทั้งแดงทั้งคัน เดินออกจากวัดไปบิณฑบาตแบบง่วง ๆ มึน ๆ ไม่ค่อยจะมีแรงถือบาตรเท่าไหร่ แถมวันนี้โยมยังใส่บาตรกันเยอะด้วยสิ ข้าวสวยร้อน ๆ ทั้งนั้น
เดินผ่านห้องสมุดประชาชน ที่ที่ครั้งหนึ่งผมเคยใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนไม่ไปเรียนพิเศษตอน ม.3 ตอนนั้นผมออกจากบ้านมา แต่ไปไม่ถึงบ้านอาจารย์ เพราะไม่ชอบอาจารย์คนนี้ที่ทั้งดุทั้งหยาบคาย
จำได้ว่าช่วงแรก ๆ ตอนที่โดดเรียนพิเศษ ผมยังไม่ได้มาห้องสมุด ได้แต่หลบอยู่แถว ๆ โรงเรียนอนุบาลใกล้บ้านบ้าง นั่งในวัดที่ผมบวชอยู่ตอนนี้บ้าง เดินหาที่นั่งไปเรื่อย เพื่อรอให้หมดเวลา แล้วก็เดินกลับบ้าน โดยที่แม่ไม่รู้เลยว่าผมไม่ได้ไปเรียนพิเศษ
ผลปรากฏว่าเกรดเฉลี่ยตกไปเยอะจนน่าตกใจ พอเห็นท่าไม่ดีแบบนี้ผมก็เลยโดดเรียนมาเข้าห้องสมุดประชาชนแทน ผมเริ่มอ่านหนังสือเรียนเอง ติวตัวเอง รวมทั้งอ่านหนังสือประเภทอื่นๆ ด้วย ...ในที่สุดเกรดก็ออกมาดีเหมือนเดิม
ส่วนของแถมที่ผมได้มาก็คือผมกลายเป็นหนอนหนังสือตั้งแต่วันนั้น
2.
ผมสังเกตว่าคนที่ใส่บาตรมักจะหน้าเดิม ๆ ยืนประจำที่อยู่ตำแหน่งเดิม ๆ อย่างเช่น ครอบครัวที่ตั้งโต๊ะสองตัวตรงสี่แยก แม่ค้าร้านขายของชำ ทหารวัยกลางคนที่ชอบชวนพระคุย ยายวัยเจ็ดสิบสองที่วิ่งพรวด ๆ มาใส่บาตรทั้ง ๆ ที่พื้นเป็นกรวดเม็ดเล็ก ๆ ทุกคนล้วนแต่เป็นขาประจำที่สนิทกันดีกับเณรที่นำผมไป แม้แต่ชื่อหมาแถวนั้น เณรก็ยังรู้จัก
เดินไปได้ไม่นาน แขนผมเริ่มหมดแรง เหมือนจะเป็นลม เกิดมาก็ไม่เคยเป็นลมมาก่อน สงสัยจะเป็นเพราะเมื่อคืนไม่สบาย กินยาไปสองเม็ด
ระหว่างเดินลอดใต้สะพานข้ามแม่น้ำ มีเศษหลอดไฟแตกกระจายอยู่เต็มบันได ผมไม่เห็นจึงเหยียบเข้าจนได้ เศษแก้วปักเท้าขวาอย่างจัง ดีที่ไม่ทันลงน้ำหนัก ก็เลยดึงออกได้
ผมเดินมาถึงหน้าบ้านตัวเอง โยมพ่อแม่ยืนรอใส่บาตร แต่กับข้าวในบาตรเยอะมาก จนผมต้องขยับกับข้าวในบาตรให้ดี ๆ เพราะมีถุงต้มจืดที่ใกล้จะหล่น ...และแล้ว!
และแล้วฝาบาตรก็หล่นดังลั่น กลิ้งไปรอบ ๆ ผมใจเสียเลย นึกไว้เลยว่าเณรที่มาด้วยจะต้องไม่พูดอะไรเรื่องทำบาตรหล่น แต่พระพรจะต้องพูดแน่ ๆ ซึ่งเดินยังไม่ทันพ้นบ้านดี พระพรก็พูดออกมาจริง ๆ ว่า "เอาแล้ว...ถ้าทำบาตรหล่น จะต้องท่องศีล 227 ข้อถอยกลับหลังนะ"
ผมตอบพระพรไปว่าในพระไตรปิฎกไม่มีบัญญัติไว้ พระพรตอบกลับมาว่า ขนาดพระพี่เลี้ยงยังบอกเรื่องให้ระวังบาตรหล่นเลย แต่เณรก็แก้ให้ว่า ที่ให้ระวังบาตรหล่นก็เพราะจะอายญาติโยมต่างหาก ไม่มีอะไรหรอก
เอาเป็นว่าพระพรเขาถือเรื่องนี้ บาตรเลยไม่ร่วง ส่วนผมไม่ถือ ...บาตรผมเลยร่วง
3.
กลับมาฉันเช้าที่ห้องในกุฏิ เณรรูปหนึ่งเพิ่งกลับมาจากบิณฑบาต ถามผมว่าได้เยอะไหม ผมนึกว่าถามถึงกับข้าวกับปลา แต่ปรากฏว่าที่เณรถามนั้นหมายถึงว่าได้เงินเยอะไหม
วันนี้ไอ้โอ๊ตเด็กน้อยไม่ไปบิณฑบาตด้วย ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่ที่กุฏิ เป็นวันแรกที่ผมได้ยินโอ๊ตบอกว่าอิ่มแล้ว (หรือจะเป็นเพราะฟันหน้ามันเริ่มโยกก็ไม่รู้ เลยกินไม่ไหว)
พอฉันเสร็จ ผมออกไปนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้ รับแดดรับลมเสียหน่อย ไม่อยากขลุกอยู่แต่ในห้อง นั่งได้ไม่นาน เณรเชียงรายมาคุยด้วยอีกแล้ว ชวนผมคุยแต่เรื่องวงการบันเทิง ถามว่าวงบูโดกันไม่มีใครสวย แล้วทำไมได้ออกเทป? บิ๊กดีทูบีเป็นยังไงบ้าง? ปาล์มมี่ทำไมเต้นท่าเหมือนผี? ทำไมซีดีเพลงฝรั่งถึงขายแพงกว่าเพลงไทย? จะหาซื้อซีดี ทาทา ยัง ได้ที่ไหน? ท่านไปหาซื้อแล้วแต่ไม่มี...ขายหมด (หมายเหตุ : เรื่องราวที่ผมเขียน เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว รายชื่อนักร้องจึงอาจดูเก่าหน่อยครับ)
วันนี้พระเหลือน้อยมาก ออกไปฉันข้างนอกกันหมด ไม่รู้ใครนิมนต์ไป เจ้าอาวาสก็วุ่น ๆ ทั้งวัน เดี๋ยวเข้าวัดเดี๋ยวออกวัด ส่วนผมนั้นรู้สึกว่าเวลาในวัดเหมือนหยุดนิ่งและยาวนานกว่าโลกภายนอก
กลับมที่ห้อง จู่ ๆ พระพรก็ถามผมว่า ถ้ามีใจให้กับผู้หญิงพร้อมกันสองคนจะผิดไหม? คำถามแบบนี้ผมคิดว่าคนถามรู้คำตอบอยู่แก่ใจ เพียงแต่อยากได้ยินใครสักคนมาสนับสนุนความคิดของตัวเองเท่านั้น
นั่งอ่านพระไตรปิฎกต่อดีกว่า... แปลกดีที่ข้อห้ามของภิกษุณีเยอะกว่าภิกษุเสียอีก มีตั้ง 331 ข้อ มีข้อห้ามที่ผมรู้สึกว่าประหลาดดี เช่น ห้ามฉันกระเทียม ห้ามนำขนในที่แคบออก ห้ามใช้ฝ่ามือตบกันด้วยความกำหนัด ห้ามใช้สิ่งที่ทำด้วยยางไม้ แป้ง ดินเหนียว ใบบัวใส่ในองค์กำเนิด ห้ามชำระลึกเกินสองข้อนิ้ว ห้ามใช้ผ้าสำหรับผู้มีประจำเดือนเกินสามวัน ห้ามให้บวชแก่หญิงที่มีสามีแล้ว แต่อายุไม่ถึงสิบสองปี
...น่าแปลกที่ส่วนใหญ่แล้วล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศทั้งนั้น
4.
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าบ่ายนี้จะต้องออกไปงานนอกวัด (มารู้ทีหลังว่าเป็นงานสวดศพ) ต้องใช้พระเณรประมาณ 25 รูป ก็เลยต้องเกณฑ์มาจากหลายวัด
พอถึงเวลา พระเณรสิบกว่ารูปพร้อมใจกันเดินแถวฝ่าเปลวแดด เพื่อไปขึ้นรถที่รอรับอยู่อีกวัดหนึ่ง พาหนะที่จะพาพระเณรไปงาน เป็นรถกระบะเปิดโล่ง ซึ่งจะต้องบรรจุทั้งหมดกว่าสิบห้าชีวิต พอพระเณรขึ้นกันครบ ดูแล้วสีเหลืองสว่างทั้งคันรถ
ไปถึงวัด งานศพเป็นของยายวัย 72 ปี บรรยากาศความเศร้าดูเจือจางลงไปตามกาลเวลาแล้ว ศาลาวัดนี้สกปรกมาก ๆ ฝุ่นหนาเป็นนิ้ว เศษอาหาร เปลือกส้ม ธูปเทียนระเกะระกะเต็มไปหมด เหมือนไม่เคยใช้งานมาเป็นปี
ผมกับพระพรเป็นพระใหม่ ยังสวดไม่เป็น ได้แต่ทำปากขมุบขมิบไปตามเรื่องตามราว จบพิธี มีปัจจัยหนึ่งร้อยบาทบาทลอยมาเข้ากระเป๋าอีกแล้ว ...ถ้ามีงานสวดอย่างนี้ทุกวัน ก็ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรแล้ว
รถกระบะติดเครื่องรอ พากว่าสิบห้าชีวิตกลับวัด ก่อนจะกลับ โยมทักว่าไม่ร้อนแย่หรือที่นั่งกระบะไม่มีหลังคา พระรูปหนึ่งตอบโยมไปว่าไม่เป็นไร ร้อนก็ทนเอาโยม พระทนได้
แต่พระรูปที่ตอบ ท่านนั่งหน้า ข้างคนขับ เปิดแอร์เย็นสบาย
5.
ขากลับผ่านร้านอาหารที่พระพรทำงานอยู่ พระพรชี้ให้ดูสาวเสื้อชมพู พลางบอกผมว่าที่เมื่อเช้าถามผมว่ามีใจให้ผู้หญิงสองคนผิดไหม คนนี้นี่แหละคือคนที่สอง คนแรกคือสีกาแฟนของพระพร
กลับมาถึงกุฏิ เปิดประตูห้องเข้าไป เณรน้อยกำลังเคี้ยวผลไม้ตุ้ย ๆ นำขบวนโดยไอ้เด็กโอ๊ตจอมกินจุตามเคย ที่ตลกก็คือมันยังมีหน้าบอกว่า เณรเคี้ยวอาหารตอนบ่าย ผิดศีล ...พูดเสร็จก็หัวเราะใหญ่
ห้าโมงเย็น กวาดวัด ใบไม้ร่วงทุกวัน สกปรกทุกวัน ...แล้วใจเราล่ะ ได้กวาดบ้างไหม?
กวาดเสร็จ มานั่งอ่านพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าท่านผ่านอะไรมาเยอะ ลองผิดลองถูกก็มาก ถูกคนที่เคยช่วยเหลือเมินด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าท่านยอมแพ้แล้ว ตอนแรกท่านไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะเผยแผ่สิ่งที่ตรัสรู้ดีหรือไม่ เพราะเกรงว่าจะไม่มีใครเข้าใจ
ผมชอบประโยคที่ท่านบอกว่า “เราคือผู้ตรัสรู้เอง ไม่มีใครเป็นครูของเรา” ...เจ๋งดี.
(อ่านตอนอื่น ๆ กดที่แฮชแท็กนี้ครับ #ผมไม่มีผม )
หมายเหตุ : หนังสือเล่มแรกที่ทำให้หลายคนรู้จักผม คือ "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" แต่จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียนและได้รับการตีพิมพ์ คือ "ผมไม่มีผม" เล่มนี้วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2548 เนื้อหาคือบันทึกเรื่องราวที่ผมบวชเมื่อปี พ.ศ.2547 ไม่ได้บวชนาน (แค่ 11 วัน) ไม่ได้บวชไกล (วัดอยู่ติดกับบ้านเลยครับ) แต่ผมก็อุตส่าห์จดบันทึกประสบการณ์ช่วงนั้นเสียยืดยาว จนกลายมาเป็นต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ a book นึกอย่างไรไม่รู้ ตัดสินใจรับพิมพ์ (และขายไม่ออก)
วันเวลาผ่านไป ผมพบไฟล์ต้นฉบับอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตอนกำลังเก็บของเตรียมย้ายบ้าน แม้ไม่มีใครร้องขอว่าอยากอ่าน "ผมไม่มีผม" แต่ผมก็อยากนำมาเผยแพร่ไว้ที่นี้ โดยเรียบเรียงใหม่ให้กระชับขึ้น เอาไว้อ่านกันสนุก ๆ ครับ ส่วนถ้าจะได้สาระไปด้วย ให้ถือว่าเป็นของแถมก็แล้วกัน ผมจะทยอยลงในเว็บไซต์เป็นตอน ๆ นะครับ
Comments