1.
หลับเพลิน ตกใจตื่นมาตีสี่สี่สิบห้านาที เกือบไม่ทันออกบิณฑบาต เช้านี้ให้เณรนำทาง เณรพาเดินบนสะพานข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่ง เห็นซากปรักหักพังของวัดเก่า ๆ ในบรรยากาศยามเช้า เหมือนหลุดมาอยู่ยุคสุโขทัย แกงค์หมาไล่เห่าไอ้โอ๊ตหลานพระพร แต่กลับไม่เห่าพระเณร คราวนี้ไอ้ตัวเล็กมันคงเหนื่อยเพราะเดินไกล ต้องวิ่งตามเป็นระยะ ๆ
เดินผ่านโรงเรียนที่ผมเคยเรียนสมัยมัธยม อีกไม่กี่ปีที่นี่ก็จะถูกทุบทิ้ง เพราะมีการขุดค้นพบโบราณสถานอยู่ข้างใต้ตอนที่กำลังก่อสร้างตึกเพิ่มเติม เรื่องน่าแปลกก็คือ โรงเรียนประถมที่ผมเคยเรียนก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว เพราะย้ายไปสร้างที่ใหม่ ส่วนบ้านเช่าที่เคยอยู่สมัยเด็ก ก็กลายเป็นคนอื่นมาเช่าแทน เพราะครอบครัวผมย้ายไปซื้อบ้านใหม่
อดีตที่เป็นสถานที่ของผมจึงแทบไม่เหลือ มีแต่อดีตที่เป็นความทรงจำเท่านั้นที่ยังไม่มีใครมาทำลาย
เดินเลยโรงเรียนไปอีก รู้สึกแปลกที่หลายปีตอนเรียนอยู่ ผมไม่เคยเดินเลยผ่านจากโรงเรียน ถึงโรงเรียนก็เดินเข้าโรงเรียน ไม่เคยไปไกลกว่านั้น จึงไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรอยู่ถัดจากโรงเรียนไป
ขากลับเดินเลาะแม่น้ำ บรรยากาศดี ลมเย็นสบาย พระอาทิตย์กลม ๆ กำลังขึ้น แวะบิณฑบาตที่บ้าน โยมป้าข้างบ้านเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ ก็เลยใส่บาตรด้วย
วันนี้ไม่ล้นบาตร เต็มบาตรพอดี
2.
ไม่มีงานบนศาลา วัดก็เงียบขึ้นเยอะ ต่างคนต่างฉันกันที่กุฏิ พอฉันเช้าเสร็จ เริ่มง่วง ต้องดื่มกาแฟกระป๋องอีกแล้ว แต่ก็ยังง่วงอยู่ดี จึงไปห้องสมุดที่ตึกข้างกุฏิ ผมอยากรู้ว่าศีล 227 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง
เมื่อเช้าตอนบิณบาต มีโยมคนหนึ่งอยู่ดี ๆ ก็ถามผมว่าบวชมากี่วันแล้ว ผมตอบไปว่า 5 วัน แล้วเขาก็บอกว่าแค่ถือศีลห้าได้ก็ประเสริฐแล้ว เหมือนพูดเตือนใจผมเลย เพราะเมื่อวานออกจะคึกมากไปหน่อยกับการเล่นมายากล ไม่สำรวมเอาเสียเลย
คงเพราะรู้สึกผิดที่เมื่อวานทำตัวไม่สำรวม ผมจึงคิดจะไปยืมพระไตรปิฎกมาอ่าน อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง แต่จากที่ตั้งใจว่าจะแค่ไปยืมหนังสือมาอ่าน ก็กลายเป็นสนทนาธรรมกับพระที่อยู่ห้องสมุดนานชั่วโมงกว่า ได้ความรู้มาหลายอย่าง
ท่านเล่าให้ฟังในหลายเรื่อง เช่น...
- เรื่องการผิดศีลว่ามีกี่ขั้น การจะพิจารณาว่าผิดศีลหรือไม่ ใช้วิธีการเหมือนกับกฎหมายที่จะต้องดูเจตนาด้วย
- เรื่องการขึ้นเทศน์ ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นเณรก็ขึ้นเทศน์ได้ แล้วแต่ว่าเจ้าอาวาสวัดนั้นจะเปิดโอกาสหรือเปล่า
- เรื่องรูปแบบการเทศน์ ท่านบอกว่าที่ต้องบรรยายด้วยเรื่องราวตัวอย่างโบราณ ก็เพราะเกรงว่าจะผิดคำสอน ถ้าไม่แม่นพอ และยังต้องการอนุรักษ์ของเก่าเอาไว้ด้วย
- เรื่องการชำระพระไตรปิฎก เรื่องพระสายปริยัติ (สายบ้าน) กับสายปฏิบัติ (สายป่า) เรื่องนิกายเถรวาท (ยึดถือความตามพระไตรปิฎก) นิกายมหายาน (ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพระไตรปิฎก)
- เรื่องสมาธิที่มีมากถึงสิบหกขั้น
- เรื่องการอยู่กับปัจจุบัน
- เรื่องการศึกษาของพระที่เรียกว่าเป็นแบบ "ประคองชีวิต" ต่างกับการศึกษาของฆราวาสที่เป็นแบบ "ประกอบวิชาชีพ" เพื่อหาเลี้ยงตน
คิดถูกที่เดินมาที่นี่ ได้ความรู้เพียบเลย
3.
เอาพระไตรปิฎกมานั่งอ่านใต้ต้นไม้ได้สักพัก ลุงเย็น มัคนายกประจำวัดก็เดินมานั่งด้วย นั่งเฉย ๆ ไม่พูดอะไรเลย สักพักหลวงพี่อีกรูปเดินมาร่วมวง ไถ่ถามว่าผมเรียนอะไรมา ทำงานอะไร แล้วท่านก็คุยเรื่องของท่านให้ฟังว่า ท่านจบบริหารมาจากราชภัฏ บวชมาสิบห้าพรรษาแล้ว ตอนนี้สอนหนังสืออยู่หลายที่ และกำลังอยากจะสึกไปเป็นครูเต็มตัวเพื่อที่จะได้สอนเต็มเวลา
น่าแปลกใจที่ในหลายประโยค หลวงพี่รูปนี้เน้นเรื่องรายได้เอามาก ๆ หลวงพี่บอกว่าท่านมีความสามารถพิเศษก็คือ "ผูกผ้ามัดผ้าประดับวัดวาให้สวยงามเวลาวัดมีงาน" ประเภทผ้ายาว ๆ ผูกย้อย มัดดอก ระโยงระยางบนศาลาวัด
ที่เจ๋งก็คือ มีงานจ้างให้ออกไปผูกผ้านอกวัดเป็นประจำ เช่น ศาลหลักเมือง ศาลากลาง หรือแม้กระทั่งโบสถ์คริสต์ หลวงพี่มีลูกมือเป็นเณร คอยแบ่งงานกันอย่างเป็นระบบ ได้ค่าจ้างต่องานสองหมื่นบาท...โอโห สองหมื่นบาท
ปีหนึ่ง ๆ หลวงพี่บอกว่า "สี่แสนบาท" ท่านหาได้สบาย ๆ
4.
ฉันเพล สีกาแฟนเอาอาหารมาให้ตอนกำลังฉันเพล กำลังฉันอยู่ เธอเดินขึ้นมาบนศาลา พระเณรมองกันเป็นตาเดียว ไม่ได้เห็นหน้ากันมาสามวัน ...ถ้าบอกว่าดีใจจะผิดศีลไหม?
หลับกลางวันตามเคย ตื่นมาอาบน้ำ ซักผ้า จีวรเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ดีมาก ตากแค่สองสามชั่วโมงก็แห้งสนิท มีสองชุดก็เกินพอ
เอาล่ะ ...อ่านพระไตรปิฎกต่อ
ศีลแปลว่า “ความเป็นปกติทางกาย วาจา” ผมสรุปได้ความว่า ศีล 227 ข้อ แบ่งตามระดับความหนักเบาของความผิด หนักสุดเรียกว่า "ปาราชิก" มี 4 อย่างคือ เสพเมถุน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และอวดอุตริมนุสธรรม นอกนั้นที่เบาลงมาก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง เรื่องกาม (สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง) เรื่องห้ามใช้ของดี เรื่องห้ามรับเงินทอง
นอกจากนี้ยังมีศีลข้อที่ผมรู้สึกว่าประหลาด ๆ เช่น ห้ามเป็นพ่อสื่อพ่อชัก ห้ามว่านอนสอนยาก ห้ามดูคนรบกัน ห้ามจี้ภิกษุ ห้ามว่ายน้ำ ห้ามผิงไฟ ห้ามเล่นซ่อนของ ห้ามยืนถ่ายปัสสาวะ
ถูกรบกวนสมาธิจากไอ้โอ๊ตหลานพระพร เด็กน้อยคนนี้มันเกรมลินกินเมืองชัด ๆ ซัดนมเป็นอูฐกินน้ำ วันละ 4 กล่องเป็นอย่างต่ำ แถมยังเอาไปฝากเพื่อนเณรอีก 2 กล่อง ใจกว้างจริง ๆ
...แต่นมที่เอาไปแบ่งน่ะมันนมของผม
5.
อ่านพระไตรปิฎกต่อ... รู้สึกสงสารพระนางมหาปชาบดีโคตมี ที่พยายามขอบวช แต่พระพุทธเจ้าไม่ยอมให้บวช นางร้องไห้น้ำตานองหน้ากลับไป จากนั้นก็โกนผม นุ่งขาว ไม่สวมรองเท้า ร่างกายมีแต่ฝุ่น เพราะเดินทางมาไกล น้ำตาท่วมมาขอบวชอีกครั้ง จนพระอานนท์ต้องเข้าไปขอพระพุทธเจ้าให้นางได้บวช ขออยู่สามครั้งก็ยังไม่ยอม
พระอานนท์จึงบอกกับพระพุทธเจ้าว่า พระนางเป็นผู้ให้นมพระพุทธเจ้าดื่มกิน ไฉนพระพุทธเจ้าจึงไม่ให้นางบวช พระพุทธเจ้าท่านจึงยื่นเงื่อนไขคุณธรรมแปดให้ และยกให้เป็นภิกษุณี ซึ่งก็ยังด้อยกว่าภิกษุอยู่มาก เช่น ต้องรับโอวาทจากพระภิกษุ ห้ามก้าวล่วง ห้ามว่ากล่าวสั่งสอนพระภิกษุ
เจอหลายประโยคที่น่าสนใจ ขอทดไว้ ณ ที่นี้
- อายตนะแปลว่า "ที่ต่อ" คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและธรรม
- ปุถุชนคือผู้ยังมากด้วยกิเลส
- ฤกษ์งามยามดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจในเวลาเช้า เช้านั้นย่อมเป็นเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
- ไม่นานหนอ กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน ถูกทอดทิ้งปราศจากวิญญานเหมือนท่อนไม้ไร้ประโยชน์
- ธรรมะคือสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ
- ความทุกข์ของสตรีคือ เมื่อแต่งไป ย่อมพลัดพรากจากญาติตน การมีประจำเดือน การมีครรภ์ การคลอดและการต้องบำเรอบุรุษ
- กำลังของสตรีที่สามารถข่มสามี ครองเรือน และครอบงำสามีได้ คือ รูป ทรัพย์ ญาติ บุตรและศีล
- บุรุษประกอบด้วยหนึ่งอย่างที่จะครอบงำสตรีได้ คือความเป็นใหญ่ เช่น พระราชา
ข้อความทั้งหมดนี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกครับ.
(อ่านตอนอื่น ๆ กดที่แฮชแท็กนี้ครับ #ผมไม่มีผม )
หมายเหตุ : หนังสือเล่มแรกที่ทำให้หลายคนรู้จักผม คือ "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" แต่จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียนและได้รับการตีพิมพ์ คือ "ผมไม่มีผม" เล่มนี้วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2548 เนื้อหาคือบันทึกเรื่องราวที่ผมบวชเมื่อปี พ.ศ.2547 ไม่ได้บวชนาน (แค่ 11 วัน) ไม่ได้บวชไกล (วัดอยู่ติดกับบ้านเลยครับ) แต่ผมก็อุตส่าห์จดบันทึกประสบการณ์ช่วงนั้นเสียยืดยาว จนกลายมาเป็นต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ a book นึกอย่างไรไม่รู้ ตัดสินใจรับพิมพ์ (และขายไม่ออก)
วันเวลาผ่านไป ผมพบไฟล์ต้นฉบับอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตอนกำลังเก็บของเตรียมย้ายบ้าน แม้ไม่มีใครร้องขอว่าอยากอ่าน "ผมไม่มีผม" แต่ผมก็อยากนำมาเผยแพร่ไว้ที่นี้ โดยเรียบเรียงใหม่ให้กระชับขึ้น เอาไว้อ่านกันสนุก ๆ ครับ ส่วนถ้าจะได้สาระไปด้วย ให้ถือว่าเป็นของแถมก็แล้วกัน ผมจะทยอยลงในเว็บไซต์เป็นตอน ๆ นะครับ
Comments