1.
ตีสี่ ...เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ผมตั้งไว้ดังขึ้น พระพรยังหลับอยู่ ปัญหาของผมเมื่อแปลกสถานที่กับแปลกเวลาก็คือการขับถ่าย หนักใจที่สุดก็ตรงเรื่องไม่ยอมปวดท้องส้วมนี่แหละ ไฟห้องน้ำยังติด ๆ ดับ ๆ ผมเลยปิดไฟอาบน้ำกลางแสงเทียน ....คลาสสิคจริงๆ
นั่งรอจนใกล้หกโมงเช้า พระพี่เลี้ยงมาจัดการห่มจีวรให้เตรียมตัวออกบิณฑบาตครั้งแรกในชีวิต พระพรบอกผมว่าถ้าทำฝาบาตรร่วงตอนเดินบิณฑบาต จะต้องสวดมนต์ถอยหลังแก้เคล็ด
พระพี่เลี้ยงพาเดินขึ้นสะพานลอยข้ามไปอีกฝั่ง ผ่านห้างสรรพสินค้าที่ผมเคยมาบ่อยๆ แปลกดีที่วันนี้มาอยู่หน้าห้างตั้งแต่หกโมงเช้า รองเท้าก็ไม่ใส่
ยังไม่มีใครใส่บาตรเลย เดินอ้อมมาถึงข้างวัดประจำจังหวัด (วัดที่เมื่อวานผมมาไหว้พระตอนเป็นนาค) ในที่สุดก็เจอคนใส่บาตรสักที แต่ปัญหาก็คือคนรอใส่บาตรเยอะมาก อาหารเริ่มเต็มบาตร หนักมาก
นาทีนั้นผมเกลียดน้ำขวดที่สุด
2.
อาหารที่คนนำมาใส่บาตรล้นจนต้องเอาออกมาใส่ถุง ทั้งผมทั้งพระพรต่างหิ้วพะรุงพะรังจนมือแทบหัก มือข้างที่ประคองบาตรก็เกร็งมาก กลัวบาตรหล่น ผิดกับพระพี่เลี้ยงที่ท่านดูสบาย ๆ
มาถึงตอนให้พรญาติโยม ผมตื่นเต้นมาก ซ้อมมาแค่ไหนก็ตื่นเต้นอยู่ดี ผิด ๆ ถูก ๆ ว่าก็ไม่พร้อมกัน ...อภัยหน่อยนะโยม
แค่ห้านาทีต่อมา อาหารเต็มจนถือไม่ไหวแล้ว พระพี่เลี้ยงต้องโทรเรียกเด็กวัดให้มาช่วยหิ้วไปเก็บที่วัด
ที่ที่จำเป็นจะต้องไปบิณฑบาตก็คือบ้านผมเอง โชคดีที่บ้านใกล้วัดอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเดินไกล ผมรู้สึกแปลกที่เห็นพ่อแม่กับน้องใส่บาตร เหมือนเปลี่ยนมุมมองกลับมามองอีกด้านหนึ่ง เพราะปกติเคยแต่เป็นคนใส่บาตรพระที่บิณฑบาตผ่านมาหน้าบ้าน
เสร็จจากบ้าน เดินเลี้ยวเข้าวัด เจ็บฝ่าเท้ามาก ส้นเท้ามีแผล เพราะทางเดินหลายจุดเป็นกรวดหินขรุขระ พระพี่เลี้ยงบอกให้ผมกับพระพรฉันข้าวเช้าเลย เดี๋ยวจะทนไม่ไหว เราสองคนไม่ขัดศรัทธา ทั้งที่รู้ว่าอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังจะต้องขึ้นธรรมาสน์
...และฉันข้าวเช้าอีกครั้ง
3.
เก้าโมงเช้า หลังจากทรมานกับการฉันเช้าบนศาลา (เพราะของเก่ายังไม่ทันย่อย) สีกาแฟนผมเอานมกล่องมาให้ คุยกันแบบเกร็ง ๆ วางตัวลำบาก สรรพนามก็ไม่รู้จะใช้แบบไหนดี
พอสีกาแฟนกลับไป ผมกลับมาที่ห้องพัก ง่วงนอนมาก แทบจะหลับคาหนังสือ ขนาดยืนอ่านก็แล้ว ทนไม่ไหวจนต้องซื้อกาแฟกระป๋องมาดื่ม ...ในที่สุดพระก็ใช้เงิน
นิสัยไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครยังคงติดตัวผมมาตลอด ผมได้แต่นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ คนเดียว ไม่ค่อยได้คุยกับพระรูปอื่นเท่าไร จะคุยนิดหน่อยก็ตอนฉันอาหาร และคำพูดก็เป็นคำพูดเดิม ๆ ประมาณว่าผมถามว่า “ท่านบวชมากี่พรรษาแล้วครับ?” ส่วนคำพูดที่คนอื่นพูดกับพระใหม่อย่างผมก็เช่น “ฉันเยอะ ๆ นะ เดี๋ยวกลางคืนหิว ฉันให้เต็มที่”
เป็นคำเตือนที่ผมจะรู้ซึ้งในค่ำคืนนั้นว่า "...หิวจริงด้วย"
4.
สิบเอ็ดโมง ...ระฆังบอกเวลาว่าได้เวลาฉันเพล อา,,,ของเก่ายังไม่ย่อย แต่ไม่กินก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นคืนนี้ลำบากแน่ ๆ มื้อนี้เป็นกับข้าวแบบชาวบ้าน ๆ แกงขี้เหล็ก น้ำพริก ผักต้ม ปลาทอด ปกติผมแทบไม่เคยกินกับข้าวแนวนี้เลย แต่คราวนี้ต้องกินให้ได้
จีวรคอยแต่จะหลุด ห่มไม่เป็นสักที
ฉันเสร็จกลับไปถูห้อง เกรงใจอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้ช่วยงานทางวัดเลย เพราะไม่รู้จะเอาตัวเองไปวางไว้ตรงไหนดี เห็นพระช่วยกันต่อโต๊ะหมู่บูชา ขนขึ้นรถกระบะเตรียมแห่งานสงกรานต์ แต่คนช่วยงานก็เยอะแล้ว ไม่รู้จะช่วยอะไรดี
ตะวันอยู่ตรงหัว อากาศร้อนมาก ซักจีวร สบง อังสะ เพราะมีสำรองอยู่อีกหนึ่งชุด อาบน้ำอีกรอบ เสร็จแล้วนำผ้าที่ซักหิ้วใส่ถังน้ำ ไปตากที่ศาลาวัด
...เพิ่งรู้ว่าหลังศาลามีกุฏิด้วย
5.
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าวัดนี้ไม่เคร่งสักเท่าไหร่ คงไม่มีกิจกรรมอะไรมากมาย เพราะฉะนั้นจึงตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงบวชนี้อ่านหนังสือ (ทั้งทางโลกและทางธรรม)
เมื่อไม่มีใครสอน เราจึงต้องเรียนรู้เอง
“จะเลือกเงินหรือชีวิต” เป็นหนังสือที่ผมติดมาอ่าน เล่มนี้ตั้งคำถามว่าคนเราให้ความสำคัญกับการหาเงินทองมากเกินไปหรือเปล่า? เงินเป็นลูกน้องเรา หรือเราเป็นลูกน้องเงิน?
แต่จะว่าไป ใคร ๆ ก็เห็นเงินเป็นใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่งที่วัด รายชื่อผู้บริจาคเงินสร้างเจดีย์ ยังเรียงลำดับจากผู้บริจาคมากไปน้อย
เมื่อเช้า เจ้าอาวาสประกาศอยู่หลายครั้งว่าน้องชายแม่ผมบริจาคเครื่องขยายเสียงให้วัด ท่านย้ำหลายครั้งว่า "ราคาหนึ่งหมื่นสามพันบาท"
เจ้าอาวาสตบท้ายประโยคว่า "ยังขาดลำโพงอีกสองตัว รอคนมาบริจาคอยู่"
6.
ก่อนหน้าที่ผมจะบวชไม่นาน ทางวัดเพิ่งขุดพบพระบรมสารีริกธาตุใต้เจดีย์เก่า วัดก็เลยพยายามจะให้สิ่งนี้เป็นจุดขายเพื่อหาเงินมาก่อสร้างมณฑปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้เริ่มวางฐานรากโครงสร้างไปแล้ว แต่ดูท่าจะยังขาดปัจจัยอยู่อีกมาก ถึงกับต้องมีรถวิ่งประกาศโฆษณาว่าที่วัดมีงานฉลองช่วงสงกรานต์ มีฉายหนังกลางแปลง มีพ่อค้าแม่ขายมากมาย
แต่ขนาดทำอย่างนี้ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ คนมาที่วัดน้อยมาก ๆ เนื่องจากมีคู่แข่งเป็นวัดประจำจังหวัดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ...จัดงานยิ่งใหญ่กว่า
สีกาแฟนโทรมาบอกว่าแม่ผมมาชวนไปทำบุญที่วัดวันพรุ่งนี้ คุยสัพเพเหระกันอีกนิดหน่อย พยายามสำรวมในการคุยให้มากที่สุด ใช้สรรพนามว่าอาตมากับโยมให้ได้ทุกประโยค
ช่วงบ่ายมีช่างมาซ่อมแอร์ในห้อง ไม่รู้จะซ่อมไปทำไม เพราะผมคงไม่กล้าเปิด เกรงใจทางวัด
เผลอหลับไปตอนบ่ายสอง ตื่นมาก็สี่โมงแล้ว ...เวลาผ่านไปช้ากว่าเมื่อวานอีก
ปกติคนที่เป็นพระ เขาทำอะไรกันนะ?
7.
อยู่ด้วยกันสองคน แต่ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับพระพรดี อึดอัดเหมือนกัน หิวมากด้วย หิวมากกว่าเมื่อวานเยอะเลย ช่วงบ่ายนี้กินนมไปสามกล่องแล้ว
ห้าโมงเย็นว่าจะออกไปเดินเล่น แต่รองเท้าแตะที่ถอดไว้หน้ากุฏิหายไปไหนก็ไม่รู้ จึงต้องเดินเท้าเปล่า ก้มมองแต่เท้าคนอื่นตลอด
นี่แหละหนา ...เมื่อไม่มีรองเท้า จึงนึกถึงรองเท้า
ผมชวนพระพรเดินสำรวจรอบวัด เพิ่งรู้ว่ามีห้องสมุดอยู่ด้านข้างของกุฏิที่ผมพักอยู่ด้วย (แต่สภาพเก่ามาก) ส่วนกุฏิด้านหลังก็กำลังก่อสร้างเพิ่มเติม กลางสนามมณฑปก่อสร้างขึ้นเสาไว้แล้ว
และกำลังจะกลายเป็นเวทีรำวงย้อนยุคคืนนี้
8.
ที่วัดนี้มีสมาคมอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพด้วย แต่ละคนดูน่ากลัวมาก บางคนถอดเสื้อเห็นลายสักเต็มตัว มีพระนั่งอยู่ด้วย 4-5 รูป ล้วนแต่ดูขลังทั้งนั้น อีกฝั่งติดกันเป็นห้องอบสมุนไพรของผู้หญิง ดูไม่น่ากลัวเท่านี้
สรุปว่าคืนนี้ไม่ค่อยมีคนมางานวัดเท่าไร ลานวัดจึงเหลือร้านปาลูกโป่งอยู่ร้านเดียว ร้านอื่น ๆ กลับกันไปหมดแล้ว ทั้งร้านดอกไม้และร้านปาลูกโป่งอีกเจ้า
ผมเพิ่งรู้ว่าร้านลูกโป่งจะสูบลูกโป่งเตรียมไว้เยอะมาก ๆ ถุงใหญ่สูงท่วมหัว เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าจะมีพวกขาประจำ ฝีมือดีมาเล่นอยู่บ่อย ๆ บางครั้งถึงกับต้องขอไม่รับเงิน ไม่ให้เล่น เพราะแม่นมากจนเจ้าของร้านขาดทุน หรือไม่อย่างนั้น ถ้าอยากเล่นจริง ๆ ก็ต้องตั้งกฏใหม่ให้ยากขึ้น
พระพรปาลูกโป่งแม่นมาก เล่นสามครั้ง ครั้งแรกปาได้เจ็ดลูกจากสิบลูก ได้รางวัลเป็นช้อนส้อม ครั้งที่สองปาได้ห้าลูก ได้รางวัลเป็นมีดโกน ครั้งสุดท้ายมือตกไปหน่อย ปาได้สามลูก ได้รางวัลเป็นน้ำส้มขวด เล่นเอาเณรน้อยมารุมดูฝีมือพระพรกันใหญ่
ตกดึก รำวงย้อนยุคมาแล้ว ผมไม่ได้ออกไปดู เพราะกลัวจะผิดศีล แต่เสียงดังสนั่นกว่าเมื่อคืนอีก แบบนี้จะนอนหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่สำคัญ ...หิวด้วยสิ
ไม่แน่ใจว่าคืนนี้เสียงท้องร้องกับเสียงดนตรี เสียงไหนจะดังกว่ากัน.
(อ่านตอนอื่น ๆ กดที่แฮชแท็กนี้ครับ #ผมไม่มีผม )
หมายเหตุ : หนังสือเล่มแรกที่ทำให้หลายคนรู้จักผม คือ "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" แต่จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียนและได้รับการตีพิมพ์ คือ "ผมไม่มีผม" เล่มนี้วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2548 เนื้อหาคือบันทึกเรื่องราวที่ผมบวชเมื่อปี พ.ศ.2547 ไม่ได้บวชนาน (แค่ 11 วัน) ไม่ได้บวชไกล (วัดอยู่ติดกับบ้านเลยครับ) แต่ผมก็อุตส่าห์จดบันทึกประสบการณ์ช่วงนั้นเสียยืดยาว จนกลายมาเป็นต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ a book นึกอย่างไรไม่รู้ ตัดสินใจรับพิมพ์ (และขายไม่ออก)
วันเวลาผ่านไป ผมพบไฟล์ต้นฉบับอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตอนกำลังเก็บของเตรียมย้ายบ้าน แม้ไม่มีใครร้องขอว่าอยากอ่าน "ผมไม่มีผม" แต่ผมก็อยากนำมาเผยแพร่ไว้ที่นี้ โดยเรียบเรียงใหม่ให้กระชับขึ้น เอาไว้อ่านกันสนุก ๆ ครับ ส่วนถ้าจะได้สาระไปด้วย ให้ถือว่าเป็นของแถมก็แล้วกัน ผมจะทยอยลงในเว็บไซต์เป็นตอน ๆ นะครับ
Comments