1.
...ในที่สุดผมก็ไม่มีผม กว่าจะได้มองอย่างเต็มตาในกระจกว่าผมที่ไม่มีผมหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ล่วงเลยไปกว่าห้าชั่วโมง ประหลาดดี หัวที่เคยเห็นมาเป็นสิบ ๆ ปี ผมเพิ่งจะได้เห็นเนื้อในของมันก็คราวนี้
อันที่จริง ผมเคยบวชหน้าไฟมาแล้วตอนอายุสิบสอง แต่น่าแปลกที่แทบจะจำอะไรไม่ได้เลย วันนี้ผมกลับมาบวชที่บ้านเกิด หลังจากไปอยู่กรุงเทพฯ มาสิบกว่าปี
ผมเอามือจับหัวเล่น ลูบไล้ไปมา ในขณะที่ใจก็นึกไปถึงเมื่อเช้า เช้าแห่งความฉุกละหุก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ
ขนาดตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ และวัดที่จะบวชก็อยู่แค่หลังบ้านแท้ ๆ
2.
ตีสี่กว่าๆ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จัดแจงไหว้พระที่บ้าน ออกไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบริเวณวัด (ที่ผมเองก็จำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง) จากนั้นทุกคนรวมทั้งผมต่างก็สาละวนอยู่กับการเตรียมกาแฟ โอวัลตินไว้ต้อนรับแขก
เวลาผ่านไปเร็วมาก เจ็ดโมงเช้า ฤกษ์ปลงผมเกินมาสิบนาทีแล้ว
แขกเหรื่อเริ่มทยอยกันมา พิธีปลงผมเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พระพี่เลี้ยงจับผมนั่งเก้าอี้ แล้วทุกคนก็เริ่มมาขริบผมของผม โดยที่ผมไม่รู้เลยว่ามีใครบ้างเพราะนั่งหันหลัง
แม่บอกว่าคนที่จะมาขริบผมได้ จะต้องเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่พอนานไป ใคร ๆ ก็คงอยากจะลองขริบดู ก็เลยต่อแถวกันใหญ่
เหลือบไปดูอีกที ผมเห็นเด็กสิบขวบกำลังขริบผมของผมอยู่
3.
ชั่วอึดใจเดียวหลังจากทุกคนขริบผมเรียบร้อยแล้ว ผมกำลังแหว่งได้ที่ ผมของผมก็ถูกจัดแจงให้เลี่ยนเตียนโล่งเรียบร้อยด้วยปัตตาเลี่ยนที่ทำเอาหัวแดงเถือกไปทั้งหัว
เข้าไปอาบน้ำ สระผม (นี่เป็นสัมผัสแรกที่มีต่อหัวหลังถูกทำให้เลี่ยน) ออกมาเปลี่ยนเป็นชุดนาคสีขาว เข็มขัดนาคค่อนข้างมีปัญหา มันรัดแน่นมากและขยายที่สุดได้เท่านั้นแล้ว ทุกคนหัวเราะกันใหญ่ เพราะไม่ใช่เข็มขัดหรอกที่มีปัญหา ...พุงผมต่างหาก
แฟนผมมาถึงพอดี ทันเห็นผมตอนกำลังใส่ชุดนาค ทาแป้งขาวทั่วหัวทั่วตัว วันนี้คงไม่ได้คุยกันมากเท่าไร
เพราะ ”บวช” แปลว่าไปโดยสิ้นเชิง
4.
นั่งรถยนต์ป้ายแดงของญาติไปไหว้พระประจำจังหวัดที่อีกวัดหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้าม เพียงแต่มีเกาะกั้นกลางถนน จึงต้องขับอ้อมกันพอสมควร
พอไปถึง ผมกลายเป็นตัวประหลาดของฝรั่งที่มาเที่ยววัด ทุกคนมองผมเหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่าง ไกด์อธิบายให้นักท่องเที่ยวฟัง พวกฝรั่งถ่ายรูปผมกันใหญ่ หวังว่าคงจะมีใครสักคนเป็นตากล้องของ National Geographic เผื่อรูปผมจะได้ลงบ้าง
โชคไม่ดีนิดหน่อยที่พระพุทธรูปประจำจังหวัดกำลังอยู่ในช่วงบูรณะ ก็เลยดูไม่สวย มีโครงเหล็กระเกะระกะเต็มไปหมด ที่สำคัญทำไมองค์ท่านกลายเป็นสีดำก็ไม่รู้
ผมมารู้ภายหลังว่านั่นคือการลงรักปิดทองใหม่
5.
หิวมาก กลับมากินก๋วยจั๊บมื้อเช้าที่วัด มีโอกาสได้คุยกับเพื่อน ๆ นิดหน่อย รู้สึกเกร็ง วางตัวไม่ถูก ดีใจที่มากันหลายคน ทั้งที่นี่และจากกรุงเทพฯ
...เก้าโมงเช้า และแล้วกระบวนการแห่นาครอบโบสถ์ก็เริ่มขึ้น ไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง แย่งกันถือทั้งหมอนทั้งมุ้งทั้งของถวายพระ ถ้าจะถามผมว่างานนี้ใครถือหมอนให้ผม ...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
พูดถึงเรื่องบวช ทุกคนมักจะถามแบบแซว ๆ ว่าใครถือหมอนให้ เพราะมันเป็นประเพณีที่เชื่อต่อ ๆ กันมาว่าคนที่ถือหมอนก็คือแฟนของคนที่บวช (หรือว่าที่ภรรยาในอนาคตหลังจากสึกออกมาแล้ว) แต่แม่ผมกลับบอกว่าอย่าให้แฟนถือหมอน เพราะจะไม่ได้แต่งงานกัน ...นับเป็นเรื่องใหม่ที่ผมเพิ่งรู้
ตำนานความเชื่อนั้นมีหลายเล่มจริง ๆ
6.
ขบวนแห่นาคเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ แต่รื่นเริง เพราะขบวนร่ายรำ เครื่องดนตรีที่เคลื่อนไปด้วยมีแค่อีเล็คโทนกับกลองชุด แต่ก็มัน(ส์) ถึงใจ
โบสถ์ที่นี่ทางเดินค่อนข้างแคบ ต้องเดินเบียดกัน แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร เพราะกำลังอยู่ในอารมณ์สนุกกับอารมณ์อิ่มบุญ รอบตัวผมมีแต่คนมาเกาะเต็มไปหมด เดินไปใกล้ใครก็เกาะผมกันพัลวัน ส่วนมากมักจะบอกว่าไม่มีลูกชาย ขอตามไปสวรรค์ด้วยคนนะ
สามรอบโบสถ์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกไม่มีสมาธิสักเท่าไร ทั้งเสียงดนตรี ทั้งคนเต้น ทั้งคนมาขอเกาะ ทั้งต้องคอยระวังว่าอะไรจะมาทิ่มเท้า ...ที่สำคัญต้องระวังเหยียบขี้หมาด้วย
ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าเหยียบขี้หมาขึ้นมาจริง ๆ จะมีคนกล้าอุ้มผมมั้ย เพราะตอนนาคเข้าโบสถ์ มีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าจะต้องมีคนอุ้มนาคให้ลอยไปแตะขอบประตูด้านบน ...ซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนอยากทำหน้าที่นั้น
ถึงแม้ว่าผมจะหนักเจ็ดสิบห้ากิโลกรัมก็ตาม
7.
เดินข้ามธรณีประตูโบสถ์ เงยหน้าขึ้นมาทีแรก ผมตกใจมากที่พระเป็นสิบรูปนั่งอยู่เต็มไปหมด ทั้งขลังทั้งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกำลังจะทำพิธียิ่งใหญ่อะไรสักอย่าง โชคดีที่คำสวดอุปสมบทที่หัดท่องมาเป็นอาทิตย์ ผ่านไปง่ายกว่าที่คิด
ระหว่างที่พระอุปัชฌาย์กำลังสวด เสียงมือถือดังขึ้นและท่านก็รับเสียด้วย บางครั้งพระคู่สวดก็สวดไม่ตรงกัน พระอุปัชฌาย์ก็ต้องบอกแก้และให้เริ่มใหม่
แล้วในที่สุดจากนาคก็กลายเป็นพระสงฆ์
ผมได้ฉายาว่า “พระวิสูตร ฐานิสสโร” แปลว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้ถาม อารามยังตื่นเต้นอยู่
ออกจากโบสถ์มาฉันเพลมื้อแรกที่ศาลา รู้สึกประหลาดๆ เพราะนั่งฉันอยู่ตรงกลางวง ให้ญาติโยมล้อมรอบพลางโห่ฮิ้ว และถือเทียนที่อยู่ในถาดเวียนไปรอบ ๆ
ให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังถูกคนป่าจับตัวไปกิน
8.
และแล้วก็เสร็จพิธี เหลือผมอยู่คนเดียว ...อันที่จริงคนเดียวก็ไม่เชิง เพราะมีอีกคนที่บวชพร้อมกัน ผมก็เลยมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหนึ่งคน ชื่อว่า "ทศพร"
พระพรหรือนายทศพรทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ที่ร้านอาหารแถวบ้านผม แม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย พระพรกลัวว่าแม่จะไม่ทันเห็นชายผ้าเหลือง จึงจะบวชให้แม่ แต่ว่าไม่มีเงินบวช (การบวชก็ต้องใช้เงินครับ) คนรู้จักกับแม่ผมก็เลยออกเงินให้บวชพร้อมกัน จะได้ประหยัดเงิน
ผมเอาข้าวของมาเก็บในกุฏิ ที่พักดีกว่าที่คิดไว้เยอะ เป็นห้องขนาดสองคนนอนสบาย มีพัดลมตั้งพื้น พัดลมเพดาน แอร์ ที่นอน หมอนข้าง โทรทัศน์ เลยไปถึงเครื่องประทินผิว รูปการ์ตูนผู้หญิงทำตาหวานซึ้งแปะอยู่หน้าประตูและจดหมายง้องอน เจ้าของห้องซึ่งเป็นเณรคงอยู่ในช่วงวัยรุ่น ก็เลยมีอะไรที่คาดไม่ถึงว่าจะมีอยู่เยอะ (เณรกลับบ้านปิดเทอม ห้องนี้จึงตกเป็นของผมกับพระพร)
อ่านหนังสือที่เตรียมมาแก้เบื่อ เพราะจะให้อ่านแต่หนังสือธรรมะอย่างเดียวก็คงไม่ไหว ส่วนพระพรไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล ผมเผลอหลับไปชั่วโมงนึง ตื่นมาเห็นพระพรนอนสลบ ท่านบอกว่า (เราใช้สรรพนามเรียกกันว่า "ท่าน" กับ "ผม") เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะญาติ ๆ มานอนที่ห้อง ห้องเล็กนิดเดียว แต่เบียดเสียดยัดเยียดกันหลายคน ก็เลยนอนไม่หลับ
บ่ายสาม พระพรยังนอนอยู่ ส่วนผมอ่านหนังสือคู่มือสำหรับผู้บวชใหม่ของท่านพุทธทาสภิกขุ ไม่สนุกเหมือนคู่มือมนุษย์ที่อ่านจบไปแล้วตอนก่อนบวช ...เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หัดสวดมนต์เพิ่มเติม ซึ่งไม่รู้แปลว่าอะไรบ้าง
เริ่มหิว กินนมไปหนึ่งกล่อง
9.
ทุ่มกว่า ๆ อาบน้ำในความมืด เพราะไฟห้องน้ำติด ๆ ดับ ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอาบน้ำอยู่ในเธค ก็เลยปิดไฟดีกว่า คราวนี้ได้สัมผัสหัวตัวเองอีกครั้ง ส่องกระจกเห็นหน้าตัวเองลาง ๆ
นี่หรือคือผมเอง ...ผมที่ไม่มีผม
นุ่งสบงลวก ๆ ออกมา ได้แต่สงสัยว่าทำไมการนุ่งห่มของพระสงฆ์นั้นยากจัง หรือเพราะตัวเองไม่เคยชินมากกว่า สบง จีวร สังฆาฏิ อังสะ ประคต อันไหนคืออันไหนยังงงอยู่เลย
สี่ทุ่มครึ่งเข้านอน ปิดไฟมืด แต่เนื่องจากใกล้วันสงกรานต์ ที่วัดก็เลยมีหนังกลางแปลง ฉายหนังยิงกันสนั่นเมือง แถมตรงเหนือหัวข้างนอกห้องนอน นักศึกษาหลายคนกำลังต่อรถเตรียมประกวดงานสงกรานต์ ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว
แต่ด้วยสมาธิบวกความเพลีย ยังไงก็หลับได้
พรุ่งนี้บิณฑบาตครั้งแรก ...สิบวันต่อจากนี้ ผมจะเจออะไรบ้างก็ยังไม่รู้. #ผมไม่มีผม หมายเหตุ : หนังสือเล่มแรกที่ทำให้หลายคนรู้จักผม คือ "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" แต่จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียนและได้รับการตีพิมพ์ คือ "ผมไม่มีผม" เล่มนี้วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2548 เนื้อหาคือบันทึกเรื่องราวที่ผมบวชเมื่อปี พ.ศ.2547 ไม่ได้บวชนาน (แค่ 11 วัน) ไม่ได้บวชไกล (วัดอยู่ติดกับบ้านเลยครับ) แต่ผมก็อุตส่าห์จดบันทึกประสบการณ์ช่วงนั้นเสียยืดยาว จนกลายมาเป็นต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ a book นึกอย่างไรไม่รู้ ตัดสินใจรับพิมพ์ (และขายไม่ออก)
วันเวลาผ่านไป ผมพบไฟล์ต้นฉบับอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตอนกำลังเก็บของเตรียมย้ายบ้าน แม้ไม่มีใครร้องขอว่าอยากอ่าน "ผมไม่มีผม" แต่ผมก็อยากนำมาเผยแพร่ไว้ที่นี้ โดยเรียบเรียงใหม่ให้กระชับขึ้น เอาไว้อ่านกันสนุก ๆ ครับ ส่วนถ้าจะได้สาระไปด้วย ให้ถือว่าเป็นของแถมก็แล้วกัน ผมจะทยอยลงในเว็บไซต์เป็นตอน ๆ นะครับ
Comments