1.
"งาน" ไม่ใช่ของที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีใครบางคน "สร้าง" มันขึ้นมา มีใครบางคนประกาศรับสมัคร แล้วจึงมีใครบางคนไปสมัครงาน แต่เราจำนวนมากถูกปลูกฝังว่า "ตั้งใจเรียนนะลูก เรียนจบแล้วจะได้ 'หางาน' ดี ๆ ทำ"
ผมไม่ได้บอกว่าการตั้งใจเรียนเป็นเรื่องผิด ไม่ได้บอกว่าการหางานเป็นเรื่องไม่สมควร แต่กรอบความคิดคงแคบไปนิด หากเราจะคิดเพียงว่างานนั้นต้อง "หา" เท่านั้น งานบางงานอยู่ในประกาศสมัครงาน งานบางงานอยู่ในสายสัมพันธ์ แนะนำมาจากคนรู้จัก แต่งานที่ดีกว่านั้นอีก ...เราอาจต้อง "สร้างงาน" นั้นขึ้นเอง
นี่เป็นเรื่องเหนือจินตนาการของคนจำนวนมาก เพราะคิดว่างานนั้นต้องเกิดจากการไปสมัคร สอบสัมภาษณ์ แล้วรอว่าจะได้งานหรือไม่ ถ้าได้ก็รอรับเงินเดือน ถ้าไม่ได้ก็ออก "หางาน" ต่อไป ...น่าเสียดายที่ไม่เคยลองคิดในแง่มุมที่ว่า เรา "สร้างงาน" ขึ้นมาเองได้ด้วย เช่น ขายสินค้าออนไลน์ เป็นที่ปรึกษา เปิดร้านเล็ก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย
...แน่นอนครับ ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการสร้างงาน บางคนเหมาะกับการหางานทำ ซึ่งก็ดีแล้ว เพียงแต่ผมแค่อยากบอกว่า ชีวิตเรามีทางเลือกที่มากกว่าการ "หางาน" นั่นคือการ "สร้างงาน"
"งาน" ไม่ใช่ของที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีใครบางคน "สร้าง" มันขึ้นมา ลอง "เพิ่มตัวเลือก" ให้ชีวิตอีกทางสิครับ เราอาจไม่จำเป็นต้อง "หางาน" อย่างเดียว แต่ "สร้างงาน" ขึ้นมาเองก็ได้ เมื่อเราสร้างงานขึ้นมา ก็คล้ายเราได้สร้างโลกของเราขึ้นเอง เมื่อสร้างโลกขึ้นมาเอง เมื่อนั้นเราจะควบคุมชีวิตได้มากกว่าการหางานจากคนอื่น
และเมื่อเราควบคุมชีวิตเราได้ ความสุขในชีวิตก็จะเกิดได้ง่ายขึ้น
2.
อย่างที่รู้กันดีว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อมีอินเทอร์เน็ตเข้ามาข้องเกี่ยว ยามหน้าหมู่บ้านผมดูหนังจากแท็บเล็ตแก้ง่วงตอนดึก ๆ ผู้ใหญ่หลายคนส่งรูปดอกไม้สวัสดีเช้าวันจันทร์ให้ผมทางไลน์ แม่ยายคุยสไกป์กับพี่น้องทุกคืน แฟนผมดูคลิปแนะนำที่ท่องเที่ยวจากยูทูป ลูกสาวผมมียูทูบเบอร์คนดังที่รู้จักกันเฉพาะในวงเด็ก ส่วนผมไม่เคยดูทีวีมานานแล้ว แต่ก็ดูย้อนหลังหลายรายการผ่านออนไลน์
วันนี้อินเทอร์เน็ตไม่ใช่ของไกลตัวอีกต่อไปแล้ว ทุกคน ทุกวัย ทุกชนชั้น กำลังเคลื่อนตัวไปบนถนนออนไลน์ ซึ่งต้องนึกอย่างนี้นะครับว่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็เปรียบเหมือนถนน วันนี้เร็วขึ้นมาก แต่ก็ยังดีกว่านี้ได้อีกมาก ในบางพื้นที่เน็ตยังช้าเป็นเต่า บางพื้นที่ก็ไม่มีสัญญาณ แต่ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้ในอีก 10 ปีข้างหน้าคงไม่ใช่ปัญหาแล้ว เหมือนที่วันนี้ถนนบ้านเรา ก็ไม่ใช่อย่างเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ...ตอนนั้นยังเป็นถนนดิน เป็นคลองอยู่เลย
วันนี้รถวิ่งสะดวกสบายถนนฉันใด วันหน้าข้อมูลก็วิ่งกันสะดวกสบายบนสัญญาณอินเทอร์เน็ตฉันนั้น ประเด็นก็คือ เราต้องจินตนาการให้ออกว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เราจะอยู่จุดไหนในโลกอินเทอร์เน็ต? เปล่า ผมไม่ได้หมายถึงแค่ในฐานะผู้บริโภค แต่หมายถึงเราจะเป็นผู้ผลิตอะไรได้บ้างในยุคดิจิทัล? ธุรกิจของเราจะคงอยู่มั้ยในอีก 10 ปีข้างหน้า? อินเทอร์เน็ตเสริมหรือฆ่าเรา? เราจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
ไม่ว่าเราจะคิดเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นมาถึงแน่นอน อยู่ที่เราจะไหวตัวทันหรือเปล่าเท่านั้นเอง
3.
หลายธุรกิจ หลายอาชีพ กำลังสาบสูญไปกับยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลง เพราะอะไรก็ตามที่ "ออนไลน์" แทนที่ได้ สิ่งนั้นจะค่อย ๆ หายไป ขึ้นอยู่กับว่าจะทดแทนของจริงได้กี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าแทนที่ได้แบบผู้บริโภคไม่รู้สึกแตกต่าง ก็เตรียมตัวเป็นตำนานเล่าให้ลูกหลานฟังได้เลยว่าครั้งนึงเคยมีอาชีพ มีธุรกิจแบบนี้บนโลก ...เพราะมันจะไม่มีอยู่อีกแล้ว ถ้าแทนที่ได้ แต่ไม่ 100% เพราะออฟไลน์ยังมีเสน่ห์ แบบนี้ธุรกิจนั้น อาชีพนั้น ก็จะหดเหลือกลุ่มเล็ก ๆ สำหรับแฟนพันธุ์แท้ หรือผู้ที่ยังคงละเมียดละไมกับการใช้ชีวิตเท่านั้น ...แต่ยากจะกลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิม
ในความเห็นผม ทางออกมีอยู่ 3 ทาง
หนึ่ง เลิกอาชีพ เลิกธุรกิจนั้นไปเลย อย่าไปฝืน แล้วหาอย่างอื่นทำ
สอง ทำอย่างไรให้ของจริงมีเสน่ห์ ออนไลน์เลียนแบบไม่ได้ แล้วสร้างมูลค่าของจริงให้มีราคา
สาม เข้าสู่ออนไลน์แบบเต็มตัว ถ้าใครทำเก่ง รายได้จะมากกว่าตอนออฟไลน์อย่างเดียวเสียอีก
ลองหันมาพิจารณาอาชีพหรือธุรกิจที่เราทำอยู่ให้ดีครับ ถามตัวเองแบบไม่โกหกว่า อีก 10 ปี งานของฉันจะเปลี่ยนรูปไปเป็นแบบไหน? จะยังมีอยู่บนโลกนี้หรือไม่? ออนไลน์ส่งเสริมหรือว่าฆ่าฉัน? เตรียมตัวไว้ตั้งแต่วันที่คลื่นลมยังไม่แรง ดีกว่าตื่นมาแล้วพายุพัดหลังคากระเจิง เหลือแต่เราและครอบครัวยังนอนงงอยู่บนเตียง ...ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต?
ด้วยความปรารถนาดีครับ.
תגובות