top of page

หนังสือ 10 เล่มที่ชอบที่สุดในปี 2020

Updated: Dec 28, 2020

ตามธรรมเนียมครับ สิ้นปีเมื่อไหร่ ก็อยากจะทบทวนดูว่าปีนี้ผ่านอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของการอ่านหนังสือที่กลายเป็นงานหลักของผมไปแล้ว ปีนี้ผมพบว่าตัวเองแทบไม่ค่อยได้อ่านหนังสือในแนว How to แบบที่เคยคลั่งไคล้เมื่อหลายปีก่อน เพราะรู้สึกอิ่มตัว ทั้งความรู้สึกที่เกิดกับตัวเอง และทั้งเนื้อหาที่อ่านแล้วหลายเล่มวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ


ปีนี้ผมแปลกใจตัวเองที่หันมาอ่านนิยายกับนิยายภาพ (Graphic Novel) มากขึ้น ปี 2020 จึงนับเป็นปีที่แปลกสำหรับผมที่แนวทางการอ่านเปลี่ยนไปมาก รวมถึงรูปแบบการซื้อหนังสือ ก็แทบจะซื้อออนไลน์ 100% และชอบที่จะซื้อหนังสือปกแข็ง พิมพ์ดี ๆ ราคาเท่าไรไม่เกี่ยง ซึ่งยุคนี้มีหลายสำนักพิมพ์พิมพ์หนังสือดี ๆ แบบนี้ออกมาเพียบเลยครับ

ภาพถ่ายโดย Karolina Grabowska จาก Pexels


และต่อไปนี้คือหนังสือ 10 เล่มที่ผมอ่านแล้วชอบที่สุด (ไม่ได้เรียงลำดับ) ...หวังว่าจะมีบางเล่มที่คุณน่าจะชอบเช่นกัน (ส่วนของปี 2019 อ่านได้ ที่นี่ ครับ)


1. เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ เขียนโดย James R. Doty


เล่มนี้ฮิตนานแล้วครับ แต่ผมเพิ่งเคยอ่าน เพราะคิดไปเองว่าเป็นนิยายเกาหลีวัยรุ่นมุ้งมิ้ง เนื่องจากได้ยินสรรพคุณว่าเล่มนี้วงบอยแบนด์เกาหลี BTS ได้แรงบันดาลใจไปแต่งเพลง แถมสีปกก็อ่อนหวานปานนี้ ผมจึงมีอคติไปเองว่าคงไม่ใช่แนวเรา...ที่ไหนได้ ครบรส สนุก ซึ้ง ได้ความรู้ ได้แรงบันดาลใจ เป็นหนังสือที่ผสมผสานเรื่องของจิตวิญญาณ สมาธิ เข้ากับวิทยาศาสตร์ทางสมอง แล้วเล่าออกมาในรูปแบบของนิยาย "แต่ทั้งหมดคือเรื่องจริง"



หนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษมีชื่อว่า Into the Magic Shop เขียนขึ้นในปี 2016 พูดถึงเรื่องราวชีวิตของนายแพทย์ผ่าตัดสมองท่านหนึ่ง ซึ่งได้เรียนรู้ปริศนาของสมองและความลับของหัวใจ หนังสือเล่าตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก เขาได้พบหญิงชราคนหนึ่งในร้านขายอุปกรณ์เล่นมายากล เธอได้เปิดเผย "Magic" หรือกล (หรือเวทมนตร์) ที่ทำให้เขาเชื่อมโยงสมองกับหัวใจเข้าด้วยกัน เยียวยาความเจ็บปวดในวัยเด็กที่ครอบครัวมีปัญหา และทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายจนเติบโต กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ล้มเหลว หลงทาง แล้วลุกกลับขึ้นมาอีกครั้งด้วยเป้าหมายใหม่...ที่ไม่ใช่การทำเพื่อตัวเอง


ถือเป็นหนังสือที่ดีงาม เหมาะที่จะอ่านเพื่อผ่อนคลาย หยุดความฟุ้งซ่าน เปิดหัวใจเพื่อรักตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งเหมาะกับการตั้งเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน จะได้ไม่หลงไปไขว่คว้าสิ่งที่ไม่ได้ต้องการอย่างแท้จริง


เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ สำนักพิมพ์อมรินทร์ ฮาวทู ราคาปก 245 บาท สั่งซื้อออนไลน์ได้ ที่นี่



2. ตาสว่าง เขียนโดย Claudio Sopranzetti, Chiara Natalucci ภาพประกอบโดย Sara Fabbri


กราฟฟิกโนเวล (นิยายที่เล่าผ่านภาพ) ที่เล่าเรื่องชีวิตผกผันของชายคนหนึ่ง โดยมีฉากหลังเป็นการเมืองและเศรษฐกิจไทยในช่วงปี พ.ศ.2525-2555 ฟังดูเครียด ๆ แต่จริง ๆ แล้วอ่านสนุกมาก แสบ ๆ คัน ๆ และ "ตาสว่าง" สมชื่อหนังสือ นอกจากจะทรงคุณค่าทางศิลปะทั้งเนื้อเรื่องที่ชวนติดตาม ลายเส้นภาพวาดที่อาร์ตมากแล้ว ความเจ๋งของหนังสือเล่มนี้ยังอยู่ที่คณะผู้เขียนไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนอิตาเลียน เราจึงได้เห็นเรื่องของประเทศไทยในมุมคนนอก ว่าเขาเห็นเราเป็นอย่างไรบ้าง


ข้อมูลบอกว่า คณะผู้แต่งหนังสือได้ศึกษาค้นคว้าทางด้านมานุษยวิทยาในประเทศไทยเป็นเวลาสิบปี บวกกับบทสัมภาษณ์กว่าร้อยชั่วโมง และได้เข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2558 จัดทำคลังข้อมูลทั้งในรูปแบบของภาพถ่ายและฟิล์มภาพยนตร์ กว่า 5,000 รายการ โดยใช้เอกสารจากหอสมุดแห่งชาติ หอภาพยนตร์ และงานสะสมส่วนบุคคลของนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น...ทั้งหมดนี้เพื่อประกอบการเขียนนิยายภาพเล่มนี้ ซึ่งผมอ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าสมแล้วที่ทำการบ้านหนักขนาดนี้ เพราะงานออกมาดีมากจริง ๆ


พ.ศ.2525-2555 คือเวลา 30 ปีที่เมืองไทยมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย หนังสือเล่มนี้คงไม่อาจเล่าเรื่องทั้งหมดได้อย่างละเอียด ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ผมว่าคณะผู้เขียนเก่งมาก เขาใช้เรื่องของ "นก" ผู้ชายคนหนึ่งดำเนินเรื่องทั้งหมด โดยมี "เหตุการณ์จริง" ของประเทศไทยเป็นฉากหลังบาง ๆ



อย่างไรก็ตาม ต้องบอกก่อนว่าหนังสือเล่มนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่มีความเห็นรุนแรงทางการเมือง (ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม) ไม่ชอบฟังความคิดต่าง หรือชอบคิดว่าตัวเองเท่านั้นที่ถูกต้อง 100% เพราะผมเชื่อว่าจะต้องมีบางช่วงบางตอนของเนื้อหาที่ไม่ถูกใจ ไม่เห็นด้วย และอาจพาลให้อ่านแล้วหัวร้อนเปล่า ๆ ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้น อย่าอ่านเล่มนี้ดีกว่าครับ


แต่ถ้าคิดว่าอ่านได้ทุกฝั่ง ฟังได้ทุกฝ่าย จะร้ายหรือดี ฉันไม่ด่วนตัดสินอะไรง่าย ๆ เล่มนี้น่าจะเหมาะกับคุณ ยิ่งใครชอบงานศิลปะ เล่มนี้ต้องซื้อครับ ภาพอาร์ตมาก สีสวย เล่าเรื่องก็ดีมาก คุณภาพกระดาษก็เจ๋ง เรียกว่าเก็บไว้เป็นคอลเล็คชั่นประจำบ้านได้เลย


"ตาสว่าง" สำนักพิมพ์อ่านอิตาลี ราคาปก 395 บาท สั่งซื้อออนไลน์ได้ ที่นี่


3. วันที่แม่ไม่อยู่ เขียนโดย ชินกยองซุก


นิยายเกาหลีที่เล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่ง ซึ่งแม่วัย 69 ปีหายตัวไปในสถานีรถไฟใต้ดินอันพลุกพล่าน แม่ที่มาจากต่างจังหวัด มาเที่ยวหาลูก ๆ ที่อยู่ในเมือง ...แต่ตอนนี้ไม่รู้แม่ไปอยู่ที่ไหน? ฝ่ายลูก ๆ นั้นเพิ่งรู้ตัวว่า ไม่ใช่วันนี้หรอกที่แม่หายตัวไป แต่นานแล้วที่แม่หายไปจากชีวิตพวกเขา ...พวกเขาทิ้งแม่ไว้ลำพังในชนบทมานานแล้ว พวกเขาไม่เคยรู้จักแม่ด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดในมุมว่าแม่ไม่ได้เกิดมาก็เป็นแม่เลย แม่เคยเป็นเด็ก เคยเป็นวัยรุ่น เคยมีความฝันก่อนหน้าที่จะเป็นแม่


ความดีงามของหนังสือเล่มนี้ก็คือวิธีถ่ายทอดที่ยอดเยี่ยม (ซึ่งต้องกราบผู้แปลด้วย แปลดีมาก ๆ) ผู้เขียนสามารถเล่าเรื่องปัจจุบัน ไหลย้อนกลับไปยังเรื่องราวในอดีต แล้วหมุนกลับมาสู่ปัจจุบันได้อย่างไร้รอยต่อ แถมแต่ละบทยังเล่าผ่านมุมมองของตัวละครที่ต่างกัน (แบบที่คาดไม่ถึง...ไม่ขอเล่าแล้วกันครับ) ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่ามหัศจรรย์ สมแล้วที่แม้แต่ โอปราห์ วินฟรีย์ ยังแนะนำเล่มนี้


ใครมี (หรือเคยมี) แม่อายุสัก 70 ขึ้นไป แม่อยู่ต่างจังหวัด ลูกมาอยู่เมืองหลวงกันหมด อ่านแล้วจะต้องอินเป็นพิเศษ ...อ้อ บอกไว้ก่อนว่าผู้เขียนไม่เน้นดราม่าแบบจงใจให้เราน้ำตาไหล เพียงแต่สิ่งที่เขาบรรยายนั้นลึกและละเอียดจนอาจไปโดน "ต่อมอดีต" ของเราจนเสียน้ำตา


ใครที่อ่านฮาวทูมาก ๆ อยากให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาลองอ่านนิยายดูบ้าง ผมคิดว่าข้อดีของการอ่านงานเขียนประเภทนี้ก็คือ มันทำให้เราเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เพราะเปิดโอกาสให้เราสวมบทบาทเป็นตัวละครที่คิดไม่เหมือนเรา ทำไม่เหมือนเรา เราจึงเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น


วันที่แม่ไม่อยู่ แพรวสำนักพิมพ์ ราคาปก 225 บาท สั่งซื้อออนไลน์ได้ ที่นี่


4. หากโลกนี้ไม่มีหนังสือ เขียนโดย Jimmy Liao


นิยายภาพ (Graphic Novel) ผลงานเล่มล่าสุด ปี 2018 ของนักเขียนไต้หวัน เราหลายคนรู้จักผลงานของเขาจากเรื่อง “ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา” ซึ่งเต็มไปด้วยความเหงา แต่เล่มนี้ถือเป็นเล่มที่รสชาติแปลกประหลาดที่สุดในบรรดางานของจิมมี่ที่ผมเคยอ่าน แน่นอนว่าภาพยังคงสวยงาม (โดยเฉพาะใครเป็นหนอนหนังสือ เล่มนี้เต็มไปด้วยภาพวาดคนกำลังอ่านหนังสือครับ) แต่สิ่งที่แปลกออกไปก็คือ ไม่มีแล้วความเหงา ไม่มีบทกวีนามธรรมแบบเดิม ที่เพิ่มเติมคืออารมณ์ขันแบบตลกร้าย ความกวนประสาทของตัวหนังสือ ตลอดทั้งเล่มเขายั่วล้อกับความสำคัญของหนังสือว่า “ตกลงแล้วการอ่านหนังสือสำคัญขนาดนั้นจริงหรือ?” แต่ละหน้านั้นต้องบอกว่าร้ายกาจมาก อยากให้อ่านจริง ๆ ครับ


To Read or Not to Read, That is My Question หากโลกนี้ไม่มีหนังสือ สำนักพิมพ์ a book ราคาปก 350 บาท สั่งซื้อออนไลน์ได้ ที่นี่


5. ปีแสง เขียนโดย ดุจดาว วัฒนปกรณ์


ดุจดาวคือใคร? ผมเองก็ไม่รู้จัก รู้แค่ว่าผมฟัง podcast ที่เธอจัดอยู่นับสิบ ๆ ตอน (ชื่อ R U OK?) ฟังแล้วชอบมาก แต่ไม่เคยคิดหาข้อมูลมากกว่านั้นว่าเธอคือใคร จนกระทั่งเห็นหนังสือเล่มนี้ เหมือนมีคนบอกว่าดีมาก เขียนเล่าเรื่องราวชีวิตเธอ ผมก็ยังไม่ซื้อ เพราะไม่อยากรู้ เธอไม่ใช่คนดัง แต่สุดท้ายก็ซื้อมา ...และดองไว้อยู่เป็นเดือน


จนกระทั่งจัดบ้านใหม่ จึงพบหนังสือเล่มนี้และได้อ่าน เพื่อที่จะพบว่าเป็นหนังสือที่ดีมาก ต้องใช้ความกล้าถึงเพียงไหน เธอจึงเขียนเรื่องราวเปราะบางอย่างนี้ออกมาได้ ผมนับถือใจจริง ๆ มีแต่คนเข้มแข็งเท่านั้น ที่กล้าแสดงความอ่อนแอเช่นนี้ ความขัดแย้งระหว่างเธอกับแม่ ความขัดแย้งระหว่างเธอกับครู ความขัดแย้งระหว่างเธอกับมนุษย์ยาพิษในที่ทำงาน ความขัดแย้งระหว่างเธอกับคนรัก ทุกเรื่องตรง แรง แทงทะลุเข้าไปในหัวใจ แต่อ่านเพลินจนจบเล่มอย่างรวดเร็ว ...ไม่ใช่แค่ฟังเธอระบาย แต่ได้ทำความเข้าใจไปด้วย


มากไปกว่านั้น เหมือนได้โชคเพิ่มอีก 2 ชั้น คือ โชคชั้นที่หนึ่ง ภาษาเขียนดีมาก ราวกับกำลังอ่านนิยายสักเล่ม ไม่เหมือนประวัติทื่อ ๆ และโชคชั้นที่สอง ผู้เขียนเป็นนักจิตบำบัด เราจึงได้เรียนรู้เรื่องราวทางจิตวิทยาการสื่อสารไปด้วยในตัว เช่น Active Listening, Empathy, Reflect Feeling


อ่านไปได้ไม่กี่หน้า ผมสงสัยว่าทำไมผู้เขียนจึงกล้าเล่าเรื่องราวที่ทำให้เธอ "ไม่เป็นนางเอก" ได้ถึงเพียงนี้ จนกระทั่งย่อหน้าสุดท้ายของเล่มจึงพบคำตอบ เธอเขียนไว้อย่างนี้ครับ "...โอบกอดทุกอณูอันเว้าแหว่งและขาดวิ่นในตัวเองให้ได้ มันเป็นหนทางเดียว ไม่มีหนทางอื่น โอบกอดมันไว้จนกว่าวันหนึ่งเราจะมองเห็นว่า ความน่าเกลียดนั้นก็สะท้อนชีวิตเราได้เช่นเดียวกับความงาม และเมื่อนั้นเราจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเป็นอิสระ"


เป็นการจบที่งดงาม เมื่อผมปิดปกหลัง วางหนังสือลง ถึงกับต้องพ่นลมหายใจออกมา แล้วบอกกับตัวเองว่า "นี่คือหนังสือที่ดีจริง ๆ" เชียร์ขนาดนี้ ซื้อมาอ่านเถอะครับ (ไม่ได้ค่าโฆษณา)


"ปีแสง" สำนักพิมพ์ a book ราคาปก 255 บาท สั่งซื้อออนไลน์ได้ ที่นี่


6. Ghost Tower & Me เขียนโดย พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ


ชีวิตนี้ผมแทบไม่เคยอ่านหนังสือรวดเดียวจบในหนึ่งวัน แต่เล่มนี้อ่านแล้วอยากพลิกหน้าต่อไปและต่อไป ไม่ต่างกับดูซีรีส์เลย


Ghost Tower & Me คือเรื่องราวของตึกร้างย่านสาทร (สาทรยูนีค) สิ่งก่อสร้างที่เป็นเครื่องเตือนความทรงจำถึงเหตุการณ์วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ความเจ๋งของเล่มนี้ก็คือเขียนโดยลูกชายเจ้าของตึก จึงเล่าได้อย่างลึกเพราะอยู่ในเหตุการณ์ ได้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ...และยังไม่ดับไป (ที่สำคัญเล่าได้ละเอียดกว่าบทสัมภาษณ์ในอินเทอร์เน็ต)


เรื่องราวในเล่มนอกจากจะสะท้อนถึงวิบากกรรมของครอบครัว "ต่อสุวรรณ" (ที่เคราะห์กระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก) เรายังได้ย้อนมองดูจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเศรษฐกิจไทยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ซึ่งผู้เขียนบอกว่ายังส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้ และอนาคตประเทศก็ยังดูน่าเป็นห่วง


นอกจากเล่มนี้จะอ่านเพลินแล้ว ยังได้ความรู้เบื้องต้นเรื่องการเงิน กฏหมาย ธุรกิจ ถือเป็นเล่มที่เซอร์ไพรส์ผมมาก ๆ เพราะบังเอิญเดินเจอในร้านหนังสือ (ทั้งที่พิมพ์มาตั้งแต่ปี 2560) ไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้


Ghost Tower & Me สำนักพิมพ์ลายเส้น ราคาปก 350 บาท สั่งซื้อออนไลน์ ที่นี่


7. ทะเลสาบน้ำตา เขียนโดย วีรพร นิติประภา


สนุก เศร้า งดงาม ทั้งหมดนี้คลุกเคล้าอยู่ในนิยายที่เขียนโดยนักเขียนมือรางวัล 2 ซีไรต์ ผมชอบตัวหนังสือของคุณวีรพรมาก ภาษาของเธอคือเหตุผลที่คนเรายังควรต้องอ่านหนังสือต่อไป เพราะบางอย่างเล่าผ่านคำพูด ภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหวไม่ได้ ภาษาเขียนเท่านั้นที่จะทำปฏิกิริยากับบางความรู้สึกของเราได้


ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ผู้เขียนบอกว่าตั้งใจให้เป็น "วรรณกรรมสำหรับเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป" แบบนี้ถือว่าน่าสนใจครับ เพราะงานก่อนหน้านั้นของคุณวีรพร มีความเป็นผู้ใหญ่มาก เศร้ามาก ภาษาก็อ่านไม่ง่ายเลย แต่เล่มนี้เธอกลับตั้งใจเขียนให้เยาวชนอ่าน


แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองที่ไม่ใช่สายอ่านนิยายยาก ๆ เรียกร้องสมาธิเยอะ ๆ เมื่อได้อ่าน "ทะเลสาบน้ำตา" บทแรก ๆ ก็ยังยอมแพ้ อ่านวนไปมา 2-3 ครั้ง เกือบไม่ได้ไปต่อ เพราะนึกภาพในหัวตามไม่ออก ยังเซ็ตฉากและตัวละครในหัวไม่ชัดเจน จนกระทั่งอ่านซ้ำ 2 บทแรกเป็นรอบที่ 4 นั่นแหละ เครื่องจึงติด นึกภาพออกแล้ว ทีนี้ก็ไหลลื่นคืนวันหลงหายไปในหน้ากระดาษที่ผู้เขียนวาดเรื่องราวขึ้นมาเสียจนเหมือนจริง...ทั้งที่มันเหนือจริง แฟนตาซีตามสไตล์วรรณกรรมเยาวชน


เนื้อเรื่องว่าด้วยชีวิตของเด็ก 2 คน คนแรก "ยิหวา" อาศัยอยู่บนตึกเจ็ดชั้นแสนประหลาด มีชั้นละหนึ่งห้อง แม่ทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว บอกว่า "จะไปตามหาความรัก" ยิหวากินเยลลี่ทุกวันจนผมเปลี่ยนเป็นสีชมพู แม้โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดายเพราะมีสมาคมลับแห่งต้นชงโคเป็นเพื่อน ที่ประกอบด้วย แมว ห่าน และคุณยายอายุ 40 ที่รับจ้างซ่อมเสื้อผ้า


ส่วนเด็กอีกคน "อนิล" พ่อแม่ทะเลาะรุนแรงจนเลิกกัน อนิลถูกนำไปฝากไว้ให้ป้าเลี้ยงตั้งแต่ไม่กี่ขวบ อนิลถูกลูกป้ากลั่นแกล้งให้กลืนปลาทองเป็น ๆ และปลายังคงมีชีวิตอยู่ในท้องเขามาอีกนานนับปี ในเวลาต่อมาเขาร่อนเร่พเนจรออกจากบ้าน จนพบกับ "ยิหวา" และนำไปสู่การเดินทางไปยังเมืองกระจก ที่ตั้งของป่าทรงจำในครอบแก้ว ที่เรื่องราวในนั้นสุดแสนจะเหนือจินตนาการ ร้าวราน แต่ลุ่มลึก ...จนนึกไม่ถึง ผมยังคิดฝันอยู่ว่า ถ้าเล่มนี้ได้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็ก ม ปลาย ก็คงจะดี


แนะนำครับ ผู้ใหญ่ก็อ่านได้ พล็อตเรื่องสนุก รายละเอียดในความช่างสังเกตของผู้เขียนก็ร้ายเหลือ บรรยายฉากและความรู้สึกได้แบบที่คงติดตราตรึงอยู่ในหัวผมไปตลอดชีวิต...คุณวีรพรคิดได้อย่างไร น่าทึ่งมาก


ทะเลสาบน้ำตา สำนักพิมพ์ อาร์ตี้เฮ้าส์ ราคาปก 359 บาท สั่งซื้อออนไลน์ ที่นี่

8. ศิลปะของชาร์ลี เฉิน ฮก ไฉ่ เขียนและวาดโดย ซอนนี หลิว


หนังสือแนะนำมาก ๆ ๆ ครับ ติดอันดับ Top10 หนังสือที่อ่านแล้วชอบประจำปีนี้ของผมแน่นอน และเป็นเล่มหนึ่งที่ชอบที่สุดในชีวิตการอ่าน ซื้ออ่านเอง ไม่ได้ค่าโฆษณา แต่มาป้ายยาเพราะอยากให้อ่านจริง ๆ ครับ


ผมซื้อเล่มนี้มาแบบไม่รู้อะไรเลย แค่เห็นว่าเล่มใหญ่มาก (A4) ข้างในเป็นภาพวาดการ์ตูนช่องที่สวยงามมาก ก็เลยซื้อมาโดยไม่รู้จักเลยว่าใครคือ "ชาร์ลี เฉิน ฮก ไฉ่" นักวาดการ์ตูนชาวสิงคโปร์ และผมบอกไว้เลยครับว่า ยิ่งไม่รู้เท่าไหร่ พออ่านจบจะยิ่งทึ่งกับหนังสือเล่มนี้มากเท่านั้น เพราะฉะนั้นผมจะเล่าแบบกว้าง ๆ ใครอ่านแล้วหรือรู้แล้ว อย่าได้สปอยล์เป็นอันขาด


หนังสือเล่าเรื่องชีวิตของศิลปินนักวาดการ์ตูนในแนวคอมิคและการ์ตูนช่อง ที่ชื่อ "ชาร์ลี เฉิน ฮก ไฉ่" ผู้ซึ่งในปี 2014 เขามีอายุ 76 ปีแล้ว โดยเริ่มเล่าย้อนไปตั้งแต่ในวัยเด็กของเขาที่สนใจการวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านเป็นร้านขายของชำ แต่เขาอยากเป็นนักวาดการ์ตูน เพราะได้รับอิทธิพลจาก "เทซูกะ โอซามุ" ปรมาจารย์การ์ตูนญี่ปุ่น (ผู้เขียน เจ้าหนูปรมาณู) โชคดีที่พ่อแม่แค่เป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร


เฉิน ฮก ไฉ่ ค่อย ๆ ฝึกวาดจนฝีมือดีขึ้น และวาดการ์ตูนเรื่องแรกชื่อ "หุ่นยักษ์ของอาฮวด" ได้ตีพิมพ์ลงนิตยสารวรรณกรรม ซึ่งแม้ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมาย แต่เขาก็ยังคงวาดต่อไป จนกระทั่งวันนึงได้เจอ "เบอร์ทรันด์" ชายผู้จะมาเป็นคู่หูของเขาในการสร้างผลงานการ์ตูนเรื่องต่อ ๆ มา เช่น "กองกำลัง 136" "การรุกราน" "โรชแมน (ไอ้แมลงสาป)"


ผมขอเล่าไว้แค่นี้ก่อนครับ แต่คำถามก็คือ แล้วมันสนุกตรงไหน? ดีตรงไหน? ในเมื่อเราไม่รู้จักสักหน่อยว่านักวาดการ์ตูนคนนี้คือใคร? ทำไมต้องอยากรู้? คำตอบเท่าที่ผมตอบได้ก็คือ หนังสือเล่มนี้มี 3 ข้อที่เจ๋งมาก


1.ในมุมภาพวาด เล่มนี้เหมือนหนังสือรวมผลงานของศิลปินท่านนี้ "เฉิน ฮก ไฉ่" เริ่มตั้งแต่ภาพหัดวาดสมัยเขาเด็ก ๆ ภาพร่างผลงานต่าง ๆ ตัวอย่างการ์ตูนหลาย ๆ เรื่องมีให้เราอ่านหลายตอน รวมไปถึงภาพวาดผู้คนที่ลายเส้นงดงามมาก ...จึงไม่เกินไปถ้าจะบอกว่านี่คือ "หนังสือศิลปะชั้นดี" (เสียดายที่พิมพ์เป็นขาวดำ ส่วนฉบับภาษาอังกฤษปกแข็งพิมพ์สี่สี)


2.ในมุมเนื้อหา จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มนี้คือหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของสิงคโปร์ เพราะระหว่างทางที่เราได้อ่านประวัติและผลงานของศิลปินท่านนี้ เนื้อหาการ์ตูนจะเกี่ยวโยงล้อเลียนเสียดสีไปกับการเมืองของสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ถูกปกครองโดยอังกฤษ ช่วงรวมและแยกประเทศกับมาเลเซีย และช่วงที่ ลี กวน ยู เป็นผู้นำประเทศยาวนานหลายสิบปี ผมเองซึ่งอ่อนด้อยประวัติศาสตร์ชาติสิงคโปร์มาก ๆ จึงได้รู้เรื่องราวของประเทศนี้ และทำให้เกิดความสนใจไปค้นคว้าหาข้อมูลต่อ ...จึงไม่เกินไปถ้าจะบอกว่านี่คือ "หนังสือประวัติศาสตร์การเมืองสิงคโปร์ชั้นดี" อ่านง่าย อ่านสนุก ไม่น่าเบื่อเลย ผมอ่านสองรอบอย่างเพลิดเพลิน


3.ในมุมวิธีการเล่าเรื่อง ผมขอใช้คำว่า "ร้ายกาจมาก" เพราะวิธีการเล่าเรื่องของผู้วาดและเขียนหนังสือเล่มนี้ ("ซอนนี หลิว" ซึ่งเขียนถึงศิลปินที่ชื่อ "ชาร์ลี เฉิน ฮก ไฉ่") ไม่ธรรมดา ซอนนี หลิว เล่าตัดสลับระหว่าง 1)เส้นเรื่องชีวิตของ เฉิน ฮก ไฉ่ ตั้งแต่เด็กจนแก่ 2)รวมผลงานการ์ตูนและภาพวาดอื่น ๆ ของ เฉิน ฮก ไฉ่ 3)ตัว ซอนนี หลิว เองที่ถูกวาดเป็นตัวการ์ตูนซึ่งกำลังอธิบายเรื่องราวชีวิตและผลงานของ เฉิน ฮก ไฉ่ พร้อม ๆ กับอธิบายการเมืองสิงคโปร์ไปด้วย ทั้งหมดนี้ร้อยเรียงเนียนแนบเป็นเนื้อเดียวกันจนน่าทึ่ง (พร้อมกับความน่าทึ่งเมื่ออ่านจบ และหาข้อมูลต่อ ...ซึ่งผมขอไม่สปอยล์) ...จึงไม่เกินไปถ้าจะบอกว่านี่คือ "หนังสือเรื่องเล่าชั้นดี" วิธีการเล่าของเขาเทียบได้กับ เควนติน ทารันติโน่, เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน หรือ คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ยังได้


เอาล่ะครับ ถ้าทั้งหมดนี้ ยังทำให้คุณอยากซื้อไม่ได้อีก กรุณาดูที่ปกมุมขวาด้านบนไล่ลงมา จะเห็นวงกลม 4 วง นั่นคือรางวัลที่หนังสือเล่มนี้ได้ ตั้งแต่รางวัลออสการ์ของวงการหนังสือการ์ตูน รางวัล New York Times Bestseller และรางวัลในวงการหนังสือสิงคโปร์อีก 2 รางวัล ใครชอบศิลปะ ใครชอบเกร็ดการเมือง ใครชอบวิธีเล่าเรื่องเจ๋ง ๆ เล่มนี้มีไว้เพื่อคุณครับ


"ศิลปะของชาร์ลี เฉิน ฮก ไฉ่" สำนักพิมพ์ Silkworm ราคาปก 650 บาท สั่งซื้อออนไลน์ ที่นี่

9. หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว เขียนโดย กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ


อันที่จริงผมเคยเห็นนิยายเล่มนี้ตั้งแต่เกือบ 30 ปีที่แล้ว (สำนักพิมพ์สามัญชน เคยพิมพ์ตั้งแต่ปี 2529 แต่ไม่ได้ขอลิขสิทธิ์ เนื่องจากติดต่อยากมาก) แต่พอพลิกดูผ่าน ๆ แล้วรู้สึกยาก ตัวหนังสือเป็นพรืด ได้ชื่อว่าเป็นวรรณกรรมระดับโลกจากละตินอเมริกา แถมคนเขียนยังได้รางวัลโนเบลจากนิยายเรื่องนี้อีก โอโห ครบสูตรของความยาก ...ยอมดีกว่า


จนกระทั่งเห็นเวอร์ชั่นล่าสุด ที่สำนักพิมพ์บทจรนำมาแปลใหม่จากภาษาสเปน ทำเป็นปกแข็ง หน้าปกสวยมาก และขอลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง ผมจึงเริ่มรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ต้องมีอะไรดีแน่ ๆ จึงมีคนกล้านำมาแปลใหม่ และทำสวยถึงเพียงนี้


ผมตัดสินใจซื้อ แล้วอ่าน อ่าน และอ่าน เพื่อที่จะพบว่ามันเป็นนิยายที่มหัศจรรย์ สนุกมากทั้งพล็อตเรื่องที่โคตรจะดราม่า (เรื่องราว 7 ชั่วอายุคนของครอบครัวหนึ่ง) ทั้งภาษาที่น่าทึ่ง (จับอดีต ปัจจุบัน อนาคต มาเล่าปนเปกันได้อย่างเหลือเชื่อ) จะอ่านเอาแค่สนุก หรือจะอ่านเอาลึก ๆ แนวการเมืองก็ได้ แต่ที่สำคัญที่สุด มันเป็นนิยายที่อ่านสนุกอย่างเหลือเชื่อ เพียงแต่ต้องข้ามผ่านจุดวัดใจที่ผู้เขียนสร้างเอาไว้ให้ได้ก่อน นั่นคือ


1.ตัวละครหลากหลายที่มีชื่อซ้ำกันไปมา (ตั้งแต่รุ่นทวดไปจนรุ่นเหลนโหลน) 2.ลำดับชั้นของสาแหรกครอบครัว (ถึงกับมีการทำเป็นโปสเตอร์ออกมาจำหน่าย) 3.วิธีเล่าแบบไม่เกรงใจใคร (บางครั้งเล่าเฉลยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บางครั้งเล่าโดยยังไม่บอกว่าใครเล่า แล้วค่อยบอกชื่อทีหลัง) 4.ตัวหนังสือที่ติดกันเป็นพรืด (แต่อ่านไปสักพักจะชิน และสนุกมาก)


หนังสือหนาเกือบ 500 หน้า แต่เชื่อเถอะครับ คุณจะไม่อยากให้ถึงหน้าสุดท้าย ผมไม่เคยรู้สึกสนุกกับการอ่านหนังสือขนาดนี้มานานแล้ว นี่คือพลังของตัวอักษร ที่ไม่ต้องมีเสียงและภาพเคลื่อนไหว แต่กลับสร้างโลกอีกใบให้กับคนอ่านได้อย่างสมจริง


"หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" (ปกแข็ง) สำนักพิมพ์บทจร ราคาปก 850 บาท สั่งซื้อออนไลน์ ที่นี่

10. เขาเรียกผมว่าเน็กไท เขียนโดย มิเลนา มิชิโกะ ฟลาชาร์


เล่มเล็ก บาง แต่ทรงพลังอย่างแรง อย่าให้ความเรียบง่ายของหน้าปกและชื่อเรื่องทำให้คุณไม่สนใจที่จะอ่านมัน "ผมเรียกเขาว่าเน็กไท" คือนิยายความยาวร้อยกว่าหน้า เล่มขนาดพ็อกเก็ตบุ๊กของแท้ คือใส่กระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ได้สบาย ผมซื้อมาเพราะเห็นว่าติดโผหนังสือที่หลายคนแนะนำ โดยที่ไม่รู้อะไรมากไปกว่าเรื่องย่อ


เรื่องราวของหนุ่มญี่ปุ่นวัย 20 ผู้เก็บตัวอยู่ในห้องที่บ้านนานถึง 2 ปี วันหนึ่งเขายอมพาตัวเองออกมาข้างนอก แต่กลับหวาดกลัวจนต้องไปนั่งพักที่สวนสาธารณะ ที่นี่เขาได้พบชายพนักงานบริษัทวัย 58 ปี ผู้ซึ่งมานั่งม้านั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา นั่งตั้งแต่กลางวันยันเย็น จากคนแปลกหน้า เมื่อเห็นกันทุกวัน ชายหนุ่มกับชายสูงวัยจึงค่อย ๆ กลายเป็นเพื่อนคุย แลกเปลี่ยนอดีต ความลับ รอยแผล ชีวิต และความรู้สึก (แต่ละเรื่องบาดลึกมากกกก)


ความเจ๋งของเรื่องนี้ก็คือ วิธีที่เขาเล่า บทสนทนาจะละลายไปกับฉากและคำบรรยาย บางครั้งมาเป็นห้วง ๆ ไม่ได้บอกว่าใครพูด แต่เรากลับเข้าใจ หลายประโยคคมคายระดับบทกวี (ต้องชื่นชมคุณอุ้ม สิริยากร ที่แปลได้ดีมาก) ผมมั่นใจว่าหลายประโยคจะติดอยู่ในความรู้สึกคนอ่านไปอีกนาน


ใครไม่ค่อยได้อ่านนิยาย ลองเล่มนี้ดูครับ เข้าใจไม่ยาก แต่ทำงานกับความรู้สึกได้ดีเยี่ยม


"ผมเรียกเขาว่าเน็กไท" สำนักพิมพ์แมร์รี่โกราวด์ ราคาปก 220 บาท สั่งซื้อออนไลน์ ที่นี่


8,396 views0 comments

Comments


Home: Blog
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.23.png
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.34.png

กรอกข้อมูล รับฟรี! ebook บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด

bottom of page