หลายปีที่ผ่าน ผมมัก "ทดความคิด" สั้น ๆ ด้วยการโพสต์ลงใน facebook บางครั้งยาวหลายบรรทัด แต่บางครั้งก็แค่ประโยคสั้น ๆ ครั้งนี้จึงอยากรวบรวมไว้ให้เป็นที่เป็นทาง คมบ้าง ทื่อบ้าง เข้าท่าบ้าง มั่วบ้าง ไม่ต้องเชื่อสิ่งที่ผมเขียนทั้งหมด แต่ทั้งหมดที่ผมเขียน...ผมเชื่ออย่างนั้น (และหวังว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างครับ)
เรามาเริ่มกันเลย (ผมแบ่งโดยใช้ตัวเลข โดยแต่ละอันไม่มีความเกี่ยวข้องทางเนื้อหากัน)
1.
คนสำเร็จทำสิ่งที่แตกต่าง โดยไม่มัวว้าวุ่นอยู่กับคำวิจารณ์
คนทั่วไปทำตาม ๆ กัน เพราะคำวิจารณ์ทำให้กลัว
คนสำเร็จมองความล้มเหลวคือการเรียนรู้
คนทั่วไปเอาแต่คิด "กูไม่น่าพลาดเลย"
คนสำเร็จลงมือทำทันที
คนทั่วไปคิดว่า "ดี แต่เอาไว้ก่อน"
คนสำเร็จมองเห็นโอกาสในทุกปัญหา
คนทั่วไปนั้นหนา เห็นปัญหาในทุกโอกาส
อยากเป็นคนแบบไหน
เราเลือกได้ เป็นคนที่เราอยากเป็น
เพราะคนสำเร็จไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด
แต่เราต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เป็น
2.
ของแพง หรือ เรารายได้น้อย?
งานหายาก หรือ ความสามารถเราน้อย?
ของขายยาก หรือ สินค้าเราไม่น่าซื้อเอง?
ไม่มีเวลา หรือ ให้ความสำคัญไม่มากพอ?
เขาไม่รักเรา หรือ เราทำตัวไม่น่ารัก?
คนอื่นสมควรเปลี่ยน หรือ เราสมควรเปลี่ยนก่อน?
เลิกโทษปัจจัยภายนอก หันมาเปลี่ยนปัจจัยภายใน
นั่นคือทางออกของทุกปัญหา
แต่ถ้ายังมัวกล่าวโทษคนนั้นคนนี้อยู่
นั่นล่ะคือปัญหาของทุกทางออก
3.
ความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์
คนสำเร็จเห็นไปไกลว่ายิ่งใหญ่
ก่อนที่มันจะใหญ่ยิ่งจริง ๆ
ในขณะที่คนทั่วไป เห็นโอกาสอะไร
เขาก็มองว่าเล็กไปเสียหมด
บนผนัง รูเพียงนิดเดียว
แต่มองออกไป คือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
อยู่ที่ใครจะเห็นเท่านั้น
เห็นเล็ก ทำเล็ก สำเร็จเล็ก
เห็นใหญ่ ทำใหญ่ สำเร็จใหญ่
เรื่องมันก็มีเท่านี้เอง
4.
ทำส่งเดช ก็จะมีชีวิตส่งเดช
ทำแค่พอผ่าน ก็จะมีชีวิตแค่พอผ่าน
ทำแบบสุด ๆ ก็จะมีชีวิตสุด ๆ
โลกนี้เป็นเหตุเป็นผลเสมอ
5.
ร่มไม่ได้ใช้ทุกวัน
แต่สำคัญตอนฝนตก
ไฟฉายไม่ได้ใช้ทุกวัน
แต่สำคัญตอนไฟดับ
หลายคนบ่นว่าน่าจะมีร่มกับไฟฉาย
ในวันฝนตกไฟดับ "รู้งี้" น่าจะมีไว้ก่อน
ทั้งที่จริงเราต้องมีไว้ตั้งแต่วันฟ้าใสไฟสว่าง
วันปกติ เราอาจไม่ต้องใช้
แต่วันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ
ร่มกับไฟฉายนั้นสำคัญ
เตรียมสิ่งสำคัญไว้ตั้งแต่วันที่ยังไม่ต้องใช้
ไม่อย่างนั้นอาจไม่ทัน
...หลายเรื่องในชีวิตก็เช่นกัน
6.
(อันนี้อ่านเจอจากที่ไหนสักแห่ง ผมนำมาขยายเพิิ่ม)
อยากรู้จักใครสักคนแบบผิวเผิน
ลองให้เขาพูดถึงตัวเขาเอง
อยากรู้จักใครคนนั้นให้มากขึ้น
ลองให้คนอื่นพูดถึงเขาคนนั้น
แต่ถ้าอยากรู้จักใครคนนั้นแบบลึกที่สุด
ให้ดูวิธีที่เขาคนนั้นพูดถึงคนอื่น
เพราะมันจะแสดงวิธีที่เขามองโลก
ซึ่งก็คือวิธีที่เขามองเห็นตัวเอง
7.
หนึ่งในสิ่งเลวร้ายที่สุด
ที่พ่อแม่จะกระทำต่อลูกได้
(โดยที่พ่อแม่ก็ไม่รู้ตัว)
นั่นคือ "เปรียบเทียบ" ลูกตัวเองกับลูกคนอื่น
อันที่จริง ไม่มีใครเก่งกว่าใคร
เพราะไม่มีใครเหมือนใคร
เราแค่เก่งกันคนละเรื่อง
ปราดเปรื่องกันคนละอย่าง
และมีหนทางของตัวเอง
เปรียบเทียบ
มีแต่จะสร้างปมด้อยให้ลูก
และทำให้เขาแสวงหาการยอมรับชั่วชีวิต
เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง
จงให้เขาได้ปล่อยแสงในแบบที่เขาเป็น
แล้วเราจะได้เห็นดาวดวงใหม่
ที่สวยงามไม่เหมือนใคร
8.
สู้แค่ไม่ให้แพ้
กับสู้เพื่อต้องชนะเท่านั้น
การสู้สองอย่างนี้ใช้ความตั้งใจต่างกันพันเท่า
ความสำเร็จจึงต่างกันมหาศาล
คนที่สู้แค่ไม่ให้แพ้ ส่วนใหญ่ก็จะแพ้ในที่สุด
ส่วนคนที่สู้เพื่อต้องชนะเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะชนะ
ในเกมชีวิต
คนส่วนใหญ่เล่นแค่ "ไม่ให้แพ้" ก็พอใจแล้ว
ในขณะที่คนส่วนน้อย เล่นแบบ "ต้องชนะ"
คนกลุ่มนี้ในเวลาต่อมาจึงเป็นคนประสบสำเร็จ
เพราะการเล่นแบบ "ไม่ให้แพ้ก็พอ"
กับ "ต้องชนะเท่านั้น"
ความพยายามที่ใส่ลงไปนั้น ต่างกันมากมาย
ลองถามตัวเอง เราเล่นเกมชีวิตแบบไหน?
9.
มีใครชอบปฏิเสธคำชมบ้างหรือเปล่า?
ถ้ามีคนบอกว่า
"โอโห! งานสุดยอดไปเลย เก่งจัง"
แล้วเราตอบไปว่า
"แกล้งชมรึเปล่า? ไม่ขนาดนั้นหรอก"
อาการถ่อมตัว อาการปฏิเสธคำชม
แม้จะทำไปด้วยความถ่อมตัว
แต่ลึก ๆ มันอาจคือการคิดว่า
"คนอย่างฉันงั้นหรือจะคู่ควรกับฝีมือดี ๆ?"
มันคือเสียงที่ดังเข้าไปข้างในสุดใจ
เพื่อบอกกับตัวเองว่า
"เฮ้ย! ไม่เจ๋งหรอก มันฟลุก
คนอื่นเขาแค่ชมเป็นมารยาทเท่านั้น"
ผลของการพูดและคิดแบบนี้คือ
"การผลักเอาเรื่องดี ๆ ออกไป"
เพราะรู้สึกว่า "คนอย่างฉันไม่คู่ควร"
คราวหน้า ใครชม ให้ลองรับไว้
แล้วตอบกลับไปว่า
"ขอบคุณ ขอบคุณมาก
ฉันจะตั้งใจให้ดียิ่งขึ้นไปอีก"
การรับคำชม ไม่ได้แปลว่าไม่ถ่อมตัว
ไม่ได้แปลว่าเป็นคนหลงตัวเอง
แต่เพราะคนอย่างเรา
คู่ควรกับความสำเร็จต่างหาก
10.
ความคิดคือแม่เหล็ก
มันดึงดูดสิ่งที่เราคิดถึงบ่อย ให้เข้ามา
ความคิดคือแว่นขยาย
มันขยายสิ่งที่เราคิดถึงบ่อย ให้ใหญ่ขึ้น
ความคิดคือเครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์
ภาพที่เราเห็นโลก แท้จริงคือภาพในความคิดเรา
โชคดีที่เราเป็นนายความคิด
ผู้ถือแม่เหล็ก แว่นขยาย
และคุมเครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์
เราอยากดึงดูดอะไร ขยายอะไร
อยากเห็นโลกแบบไหน
ใช่! เราทำได้เองทุกอย่าง
เชิญเลือกได้เลย
11.
จิตคนเราเหมือนดั่งเก้าอี้
ถ้าเป็นผู้บรรลุ เก้าอี้นั้นจะว่าง
แต่สำหรับปุถุชนคนทั่วไป
เก้าอี้ตัวนั้นล้วนเป็นเก้าอี้ดนตรี
"ตัวคิดดี" กับ "ตัวคิดลบ" แย่งกันนั่งตลอด
เนื่องจากมีเก้าอี้เดียว
จึงไม่มีทางที่มันจะนั่งพร้อมกันได้
เราไม่มีทางคิดดีพร้อมคิดลบในเวลาเดียวกัน
โจทย์ของเราจึงคือ
ในเมื่อเราเป็นเจ้าของเก้าอี้ เป็นกรรมการในเกมนี้
เพราะฉะนั้นทำอย่างไรก็ได้
ให้ "ตัวคิดดี" นั่งเก้าอี้ตัวนี้ให้ได้บ่อยและนานที่สุด
(ไม่ถึงกับต้องตลอดเวลา แต่แค่บ่อยและนาน)
ถ้า "ตัวคิดลบ" แอบมานั่งเก้าอี้ความคิดเมื่อไร
เราต้องรีบเปิดเพลงใหม่ เล่นเก้าอี้ดนตรีรอบต่อไป
เอาใจช่วยเชียร์ให้ตัวคิดดีกลับมานั่งใหม่ให้เร็วที่สุด
ลองถามตัวเอง ตอนนี้เลย
ความคิดตัวไหนกำลังนั่งเก้าอี้อยู่?
12.
แรกเริ่มเราจะหย่อนยาน ไม่อะไรกับชีวิต
ต่อมาเราจะตึงไป จริงจังมันทุกอย่าง
แต่หลังจากนั้น
เราจะเริ่มค้นหาความพอดี
"สมดุลชีวิต"
เป็นสิ่งที่เราต้องทำไปเรื่อย ๆ
ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ
เหมือนเปียโนที่ต้องจูนเสียง
เหมือนตาชั่งที่ต้องปรับแก้ให้เที่ยงตรง
ตึงไป ก็หย่อนหน่อย
หย่อนไป ก็ตึงหน่อย
ไม่ต้องใช้ส้อมเสียง
ไม่ต้องมีตุ้มถ่วงน้ำหนัก
ใจเราจะตอบเองว่า
แค่ไหนคือ "สมดุล" ชีวิตเรา
13.
ถ้าไม่มี "ความเชื่อ" ของเราเองที่แข็งแกร่ง
เวลาเจอ "ความเชื่อ" ของคนอื่น
ใจเราจะแกว่ง หวั่นไหวตามกระแส
เราจะอยากได้ อยากเป็น อยากมีอย่างเขา
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่มั่นใจในตัวเอง
จนเกิดคำถามในใจ
"หรือความเชื่อเราผิด?"
ชีวิตที่มีคุณค่า ไม่มีอะไรมากไปกว่า
ได้ใช้นาทีไปกับ "ความเชื่อของตน"
ไม่ใช่ใช้ชีวิตบนความเชื่อคนอื่น
ความเชื่อของเราคืออะไร?
14.
สุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือ
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว
ส่วนช่วงเวลาที่ดีที่สุดรองลงมา
คือ "ตอนนี้"
อะไรที่ผ่านไปแล้ว ไม่ทันแล้ว
อย่ามัวนั่งเสียดาย
สู้ลงมือทำเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า
เพราะ "ตอนนี้"
จะกลายเป็นเวลาที่ดีที่สุด
ในอีก 20 ปีข้างหน้านั่นเอง
15.
บนความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
แทนที่จะเอาแต่มองหาว่าอีกฝ่ายผิดตรงไหน
ถ้าเราหันกลับมาถามตัวเองว่า
"แล้วฉันเองล่ะ ผิดตรงไหนบ้าง?"
นั่นน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี
เพราะถ้าต่างคนต่างคิดว่าฉันถูก
เราจะทะเลาะกันในที่สุด
แต่หากต่างคนต่างคิดว่าฉันมีส่วนผิด
เราจะปรับความเข้าใจกัน
16.
ความทุกข์มันฉลาด
ใส่เสื้อผ้าปลอมตัวเป็นความสุข
ให้เราหลงใหลว่าเสื้อสวยจัง
ครั้นพอคว้าไว้
เสื้อผ้าก็ไหลหล่น
เพื่อให้เราพบว่า
สุขไม่มี
มีแต่ยังไม่ทุกข์...เท่านั้นเอง
17.
ชัดเจนในเป้าหมาย
แต่จงยืดหยุ่นในวิธีการไปถึง
วัดผลได้ มีระยะเวลาแล้วเสร็จ
แต่จงปล่อยวาง อย่างไม่กระวนกระวาย
18.
เพราะไม่มีฉลากวันหมดอายุแปะไว้ที่หน้าผาก
เพราะวันที่เราจาก ก็ไม่รู้จะได้เจอกันอีกหรือไม่
ปฏิทินชีวิตถูกฉีกออกทีละใบ
ที่ทำได้คือ เราควรดีต่อกัน...ทุกวันเวลา
19.
ความคิดมีรูรั่ว
มันหลุดรอดออกจากปาก
อยู่ในรูปของคำพูด
คำพูดจะออกฤทธิ์
ไหลย้อนรอยสู่ความคิด
ความคิดและคำพูด
จึงเป็นลูกหลานของซึ่งกัน
คิดดี จะพูดดี
พูดดี จะคิดดี
แล้วนำไปสู่การทำดี
20.
ขอบคุณคำชม
แต่จงก้มกราบคำสบประมาท
เพราะมันทำให้เราไปได้ไกลกว่าคำชม
21.
มีสองวิธีที่ทำให้เราล้มเหลว
ไม่ฟังใครเลย
กับ ฟังทุกคน
Comments